ค่าเงินเคนยาชิลลิ่งมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อยในปี 2025

รายงานจาก FocusEconomics ซึ่งรวบรวมความเห็นจากสถาบันการเงินระดับโลก 9 แห่ง คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2025 ค่าเงินชิลลิงจะอยู่ในช่วง 135–150 ต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 140 ตัวอย่าง เช่น HSBC คาดว่าค่าเงินจะอ่อนค่าลงถึง 150 ต่อดอลลาร์ ขณะที่ Euromonitor International และ Oxford Economics คาดการณ์ที่ 149 และ 142 ตามลำดับ

 

สคต.ได้วิเคราห์สถานการณ์เศรษฐกิจของเคนยาและปัจจัยต่างๆ พอสรุปแนวโน้มได้ดังนี้

 

ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันค่าเงิน KES

  1. การลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย – ธนาคารกลางเคนยา (CBK) ได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปี 2025 เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม ส่งผลให้ผลตอบแทนจากสินทรัพย์สกุล KES ลดลง → นักลงทุนต่างชาติย้ายเงินลงทุนไปยังประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น สหรัฐฯ
  2. การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด – เคนยายังคงนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก โดยเฉพาะพลังงาน วัตถุดิบ และสินค้าอุตสาหกรรมการขาดดุลในระดับ ~5% ของ GDP สร้างแรงกดดันต่อค่าเงิน เพราะต้องใช้ดอลลาร์มากขึ้น
  3. ความไม่แน่นอนทางนโยบาการคลัง – ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายภาษีใหม่และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพเศรษฐกิจลดลง ทำให้นักลงทุนอาจถอนเงินหรือถือเงินในสกุลดอลลาร์แทน

 

ปัจจัยสนับสนุนค่าเงิน

  1. เงินสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่ง – เคนยามีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 9.1 พันล้านดอลลาร์ ณ เดือนเมษายน 2568 (CBK 2025) เพียงพอสำหรับนำเข้าสินค้าได้มากกว่า 4 เดือน (เกณฑ์ขั้นต่ำของ IMF คือ 3 เดือน)
  2. รายได้จากเงินโอนจากต่างประเทศที่มาจากแรงงานที่ไปทำงานต่างประเทศของเคนยา (Remittances) และการท่องเที่ยว –  เงินโอนจากชาวเคนยาในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 6.7% YoY ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชีย โดยขยายตัวกว่าร้อยละ 15 ในปี 2024 ที่ผ่านมา
  3. การเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ – IMF คาดว่า GDP เคนยาในปี 2025 จะเติบโต 5.0-5.3% โดยมี ภาคเกษตรกรรม การเงิน และโทรคมนาคมเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก และการลงทุนจากสหภาพยุโรป (ภายใต้ข้อตกลง EPA) ก็เริ่มเห็นผลเชิงบวก

ทั้งนี้ จากข้อมูลของนักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่า ค่าเงินเคนยาชิลลิ่ง จะมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จากการนำเข้าและการจ่ายเงินปันผลต่างประเทศครึ่งหลังของปีอาจมีเสถียรภาพมากขึ้น หากเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของเคนยา

 

ความเห็นของ สคต.

 

จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ค่าเงินเคนยาชิลลิ่ง มีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2024 และถือเป็นค่าเงินสกุลหนึ่งที่มีความผันผวนน้อยกว่าค่าเงินของหลายๆประเทศในแอฟริกา ซึ่งถือเป็นปัจจัยนึงที่สำคัญที่ยังทำให้เคนยามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีในปี 2025 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวกว่า 5.3% (IMF) อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลมีมาตรการด้านการคลังที่เป็นผลลบ เช่น เพิ่มภาษีนำเข้า ปรับค่าบริการของรัฐเพิ่มขึ้น ปรับปรุงการนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในส่วนทั้งนายจ้างและลูกจ้างมากขึ้น เป็นต้น ทำให้ประชาชนและนักธุรกิจต่างไม่พอใจกับต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โดยรวมกำลังชื้อในตลาดลดลง

สำหรับประเทศไทยนั้น การส่งออกของไทยมาเคนยายังคงขยายตัวได้ดีต่อไป คือขยายตัวในระดับ 16.19% ในเดือน ม.ค.-มี.ค. 2568 มูลค่าประมาณ 1,450.96 ล้านบาท โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ 1. อะไหล่รถยนต์ 2. เครื่องจักรการเกษตร 3. ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องปรุง 4. ข้าว และ 5. ผลิตภัณฑ์ยาง ตามลำดับ โดยสคต. คาดว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บเคนยาร้อยละ 10 นั้น อาจไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมากนัก แต่ในทางกลับกันการที่การนำเข้าของเคนยายังขยายตัวสูงขึ้นกว่าการส่งออกของประเทศนั้น ทำให้ในปลายปี อาจทำให้เริ่มมีผลลบต่อการค้าระหว่างประเทศ เพราะหากการขาดดุลมากขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาสินค้าต่างปรับตัวมากขึ้น อาจส่งผลให้กำลังชื้อในประเทศยิ่งลดลง และอาจทำให้การนำเข้าชะลอตัวลง โดย สคต. ยังคงเห็นว่า การส่งออกของไทยจะทรงตัวในปี 2568 นี้ โดยมีมูลค่า 6,985.38 ล้านบาท เท่ากับปี 2567 จากสถานการณ์การค้าที่ไม่แน่นอนดังกล่าว เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่ต้องประสบปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน

 

ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail: ของสำนักงานฯ ที่ info@ocanairobi.co.ke

 

ที่มา : https://www.businessdailyafrica.com/

thThai