- จากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากกัมพูชาในอัตราสูงถึง 49% เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน แม้ว่าจะมีการชะลอการบังคับใช้ออกไป 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เกิดการเจรจา แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ส่งออก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าและสิ่งทอซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการภาษีนี้เรื่องยอดการส่งออกสินค้าของกัมพูชาไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม นั้น
- เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2025 ในการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจกัมพูชาภายใต้บริบทมาตรการภาษีโต้ตอบของสหรัฐฯ” ณ ศูนย์ความร่วมมือกัมพูชา-เกาหลี กรุงพนมเปญ มีผู้ให้ความเห็นในประเด็นมาตรการทางภาษีฯ จากหลายฝ่าย อาทิ
- นาย Kaing Monika รองเลขาธิการสมาคมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และผลิตภัณฑ์เพื่อการเดินทางของกัมพูชา (TAFTAC) เปิดเผยว่า มาตรการภาษีโต้ตอบของรัฐบาลทรัมป์เริ่มส่งผลกระทบบางส่วนต่อห่วงโซ่การผลิตในกัมพูชาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็น “วิกฤต” ทั้งนี้ กัมพูชายังคงมีความหวัง เนื่องจากจะมีการเจรจากับสหรัฐฯ รอบที่สองในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2025 ในขณะเดียวกัน ยังเน้นว่า การเพิ่มขีดความสามารถในห่วงโซ่การผลิต การเพิ่มมูลค่าในทุกขั้นตอน การบูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการส่งเสริมนวัตกรรม ถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ภาคการผลิตสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
- นาย Penn Sovicheat รัฐมนตรีช่วยและโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การกระจายตลาดส่งออกถือเป็นแนวทางระยะยาวที่สำคัญ ท่ามกลางความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในเรื่องนี้ กัมพูชาให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง RCEP ควบคู่ไปกับความร่วมมือทางการค้าเสรีแบบทวิภาคีกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีนและเกาหลีใต้ เพื่อขยายฐานการส่งออกและลดความเสี่ยงในอนาคต
- ด้าน Mr. Meas Soksensan รัฐมนตรีช่วยและโฆษกกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลกัมพูชาได้เร่งผลักดันการขยายตลาดกับประเทศสำคัญอื่นๆ และพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ ลดขั้นตอนราชการ และเพิ่มความโปร่งใสของกฎระเบียบ เพื่อเอื้อต่อการลงทุนและเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
- ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางเชิงรุกในการปฏิรูปเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ และการขยายตลาดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตและสร้างเสถียรภาพให้กับภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาในระยะยาว
ความเห็นของสำนักงานฯ
1) แม้มาตรการภาษีโต้ตอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ จะเริ่มส่งผลกระทบบางประการต่อห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมหลักในกัมพูชา อาทิ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แต่โดยรวมยังไม่ถือเป็นวิกฤต สะท้อนถึง ความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจและศักยภาพในการปรับตัวของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินมาตรการสำคัญ เช่น การเสริมสร้างขีดความสามารถของห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการผลิต และการกระจายตลาดส่งออกผ่านข้อตกลง RCEP และ FTA กับประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้
2) การเจรจารอบที่สองระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯ มีกำหนดจัดขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2025 โดยคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement: TIFA) ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันตั้งแต่ปี 2006 แต่ยังไม่ได้นำมาใช้บังคับจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรติดตามพัฒนาการนี้อย่างใกล้ชิด หากมีแผนลงทุนหรือขยายห่วงโซ่อุปทานในกัมพูชา ซึ่งมีศักยภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้ไทย
3) ผู้ประกอบการไทยที่มีฐานการผลิต หรือพึ่งพาวัตถุดิบ และแรงงานในกัมพูชา (เช่น เย็บประกอบในกัมพูชา ส่งออกไปสหรัฐฯ ในนามสินค้าไทย) ควรเร่งประเมินสัดส่วนรายได้จากคำสั่งซื้อที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ผ่านกัมพูชา และหาทางกระจายคำสั่งซื้อระหว่างประเทศในอาเซียน (เช่น ไทย ลาว และเวียดนาม) เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่กระจุกในประเทศเดียว
ที่มา: Khmer Times
พฤษภาคม 2025