กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงของกัมพูชา ได้เปิดเผยว่า นอกจากประเทศจีน และสหภาพยุโรปที่เป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญที่สุดของกัมพูชา ยังมีประเทศอื่น ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอิรัก กำลังกลายเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ และเป็นเป้าหมายการส่งออกข้าวของกัมพูชา

เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา Mr. Yang Saing Koma รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมงของกัมพูชา ได้กล่าวว่า ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้แก่ จีน ฟิลิปปินส์ สหภาพยุโรป อิรัก ไนจีเรีย และอินโดนีเซีย และในบรรดาประเทศดังกล่าว กัมพูชาได้ส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนและสหภาพยุโรปบางประเทศแล้ว ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ขณะนี้กัมพูชาอยู่ระหว่างการส่งเสริมการส่งออกข้าวไปยัง 2 ประเทศนี้

นอกจากนี้ Mr. Yang Saing Koma ยังได้กล่าวว่า ปัจจุบัน กัมพูชาอยู่ระหว่างการส่งเสริมการส่งออกข้าวไปยังประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ส่วนอิรักคาดว่าจะเป็นตลาดข้าวของกัมพูชาในอนาคต ซึ่งจากข้อมูลในปัจจุบัน พบว่า อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาคือไทย และเวียดนาม ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับที่ 8 และกัมพูชามีเป้าหมายเป็นผู้ส่งออกข้าวในอันดับที่ 5 ให้ได้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายยุทธศาสตร์ด้านสินค้าเกษตรของกัมพูชา (ยุทธศาสตร์เพนตากอน) ในระยะที่ 1 ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร แสวงหาตลาด และรักษาสมดุลด้านราคา พร้อมทั้ง พัฒนาทักษะเจ้าหน้าที่
ในชุมชน และพัฒนาชุมชนเกษตรกรรมสมัยใหม่

รัฐบาลกัมพูชาอยู่ระหว่างการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวหอม โดยใช้เมล็ดพันธุ์สายพันธุ์แท้ ที่มีพันธุ์กรรมคงที่ ซึ่งข้าวหอมเป็นที่ต้องการสูงจากโรงงานสีข้าวในท้องถิ่น เนื่องจากการผลิตข้าวหอมเพื่อการส่งออกจะได้ราคาที่ดีและมีเสถียรภาพด้านราคา ทั้งนี้ การใช้เมล็ดพันธุ์สายพันธุ์แท้ ที่มีพันธุ์กรรมคงที่ ร่วมกับการประยุกต์ใช้หลักการและเทคนิคการเพาะปลูกที่ถูกต้อง จะช่วยทำให้ได้รับผลผลิตที่สูง

นาย Chan Sokheang  ประธานสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) ซึ่งเป็นองค์กรอุตสาหกรรมข้าวของประเทศกัมพูชา กล่าวว่า CRF ได้สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลกัมพูชา มาโดยตลอด โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การเกษตร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคอุตสาหกรรมข้าวของประเทศ โดยที่ผ่านมา CRF ได้ร่วมมือกับรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แสวงหาตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศต่างๆ และการหาพันธมิตรในการส่งออกสำหรับตลาดใหม่ เนื่องจาก CRF ต้องการให้ประเทศต่างๆ ได้รู้จักข้าวที่มีรสชาติดีของกัมพูชา

ข้อมูลที่น่าสนใจจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง/สหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF)

  1. ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 กัมพูชาสามารถปลูกข้าวบนพื้นที่มากกว่า 3.6 ล้านเฮกตาร์ และได้ผลผลิต 6.2 ล้านตัน โดยคาดว่า ถึงสิ้นปี 2566 กัมพูชาจะได้ผลผลิตมากกว่า 6.3 ล้านตัน
  2. ตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงเดือนพฤศจิกายน กัมพูชาส่งออกข้าวแล้วประมาณ 595,000 ตัน (637,004 ตัน ในปี 2565)
  3. ในปี 2566 นี้ อินโดนีเซียได้ตกลงนำเข้าข้าวจากกัมพูชาในปริมาณ 10,000 ตัน ซึ่งเป็นการนำเข้าที่มีปริมาณมาก โดยได้มีการนำเข้าข้าวรอบแรกแล้ว จำนวน 3,500 ตัน
  4. กัมพูชาอยู่ระหว่างการส่งเสริมการส่งออกข้าวไปยังประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ส่วนอิรักคาดว่าจะเป็นตลาดข้าวของกัมพูชาในอนาคต
  5. รัฐบาลกัมพูชาได้ออกนโยบายที่สำคัญหลายประการเพื่อส่งเสริมการส่งออกและส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร โดยในส่วนสินค้าข้าว กัมพูชาตั้งเป้าหมายในการส่งออกข้าวให้ถึง 1 ล้านตันต่อปี
  6. ที่ผ่านมา เวียดนามถือเป็นผู้นำเข้าข้าวเปลือกรายใหญ่ที่สุดจากกัมพูชา โดยมีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่
    3 – 4 ล้านตันต่อปี

           โอกาส/ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย

  1. ประเทศอิรักเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นการนำเข้าจากประเทศอินเดียและไทย การที่กัมพูชาวางแผนขยายตลาดส่งออกข้าวไปยังประเทศอิรัก จะทำให้มีการแข่งขันในตลาดข้าวประเทศอิรัก สูงขึ้น
  2. หลายประเทศผู้ส่งออกข้าวหลักของโลกรวมทั้งกัมพูชามีความพยายามที่จะปรับปรุงพันธุ์และเน้นการส่งออกข้าวที่ได้มูลค่าสูง (กลุ่มข้าวหอม) ซึ่งในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวหอมของไทยไปยังตลาดต่างประเทศได้
  3. แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียจะระงับการส่งออกข้าวตามนโยบาย Food Security ของประเทศ จนทำให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในการผลิตข้าว อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของปรากฏการณ์เอลนีโญ (El nino) หรือภาวะแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เพื่อเตรียมวางแผนการเพาะปลูกและการจำหน่ายข้าวในตลาดต่างประเทศต่อไป

———————————————-

ที่มา: Phnom Penh Posts

 ธันวาคม 2566

thThai