ในอดีตนาย Karl Lauterbach สังกัดพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ถือเป็นคนหนึ่งที่เคยต่อต้านนโยบายกัญชาเสรี แต่ปัจจุบันนาย Lauterbach ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาทำหน้าที่ผลักดันนโยบายกัญชาเสรี และนาย Lauterbach ได้กล่าวไว้ในการแถลงข่าวของรัฐบาลกลางว่า “นโยบายการควบคุมกัญชาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่า ล้มเหลว” และเขาก็ได้แจ้ง “ประเด็น” ที่รัฐบาลจะทำให้กัญชาเสรีพร้อมกับนาย Cem Özdemir รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ในสังกัดพรรคยุค 90 พันธมิตรสีเขียว (Bündnis 90/Die Grünen) ว่า “ร่างกฎหมายดังกล่าวน่าจะออกมาในเร็ว ๆ นี้” ซึ่งนาย Özdemir ย้ำว่า “เราจะเปิดเสรีกัญชาพร้อมกับเสริมสร้างและคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้ดีขึ้นไปอีก” โดยการเปิดเสรีกัญชานั้น จะดำเนินไป 2 ขั้นตอน กล่าวคือ (1) ขั้นแรกจะอนุญาตให้สามารถครอบรองกัญชาได้ 25 กรัม และปลูกต้นกัญชาได้สูงสุด 3 ต้น/คน และจะอนุญาตให้มีการปลูกและจำหน่ายให้กับสมาคมที่จัดตั้งขึ้นได้  โดยหนึ่งในหัวข้อได้เขียนไว้ว่า “เราจะคำนึงถึงข้อจำกัดของสหภาพยุโรป และข้อกฎหมายระหว่างประเทศ” เหตุผลนี้เองที่ทำให้การเปิดเสรีกัญชาไม่ได้ดำเนินไปตามความต้องการที่คณะรัฐบาลตั้งใจไว้ เพราะในเวลานี้จะยังไม่มีการอนุญาตให้ตั้งร้านจำหน่ายกัญชาและสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Cannabis Shop) ได้อย่างเสรี และ (2) ขั้นที่ 2 จะอนุญาตให้เปิดทดลองจำหน่ายสินค้าผ่าน Cannabis Shop ในพื้นที่นำร่องก่อน ซึ่งนี้เป็นข้อที่รัฐบาลได้ตกลงกับตัวแทน EU ไว้ อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีทั้ง 21 คน ต่างก็ออกมาปกป้องแผนการนี้และแจ้งว่า จุดหมายหลักของรัฐบาลก็ยังอยู่ที่ การกำจัดตลาดมืด และลดอาชญากรรมด้านสิ่งเสพติดลง นาย Özdemir กล่าวว่า “เราไม่ต้องการให้ใครไปซื้อกัญชาจากคนขายที่ไม่รู้ว่าข้างในผสมอะไรไว้บ้าง” นาย Lauterbach เห็นว่า “การอนุญาตให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะสามารถครอบครองกัญชาได้นั้น เป็นการแสดงขอบเขตที่ชัดเจนในการปกป้องเยาวชน” โดยในร่างกฎหมายในอนาคตจะมีการระบุเรื่องเหล่านี้เข้าไป

  1. การถือครองกัญชา

การเป็นเจ้าของและครอบครองกัญชา ต้องไม่เกิน 25 กรัม จึงจะถือว่าไม่ผิดกฎหมาย และปริมาณนี้ ก็อนุญาตให้นำติดตัวไปในพื้นที่สาธารณะได้ด้วย อีกทั้งหากมีการตัดสินโดยศาลเพราะมีการถือครองกัญชาไม่เกิน 25 หรือเป็นเจ้าของต้นกัญชาไม่เกิน 3 ต้น ผู้ที่ได้รับการตัดสินสามารถทำเรื่องให้ภาครัฐลบข้อมูลดังกล่าวออกจากกรมทะเบียนกลางของรัฐบาลกลาง (Bundeszentralregister) ได้ โดยผู้เยาว์ที่ถูกจับได้ว่า เสพกัญชา พวกเขาจะต้องเข้าร่วมโครงการแก้ไขพฤติกรรม และโครงการป้องกันการเสพติด

  1. การปลูก

“จะอนุญาตให้ปลูกกัญชาตัวเมีย” ได้มากสุด 3 ต้น และการปลูกนี้จะต้องป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงได้ อีกทั้งจะอนุญาตให้ “สมาคมแบบไม่แสวงหาผลกำไรที่มีสมาชิกไม่เกิน 500 คน สามารถปลูกกัญชาเพื่อให้สมาชิกใช้งานได้ (Cannabis Club)” โดยผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Club จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ในเวลาเดียวกัน Club นี้จะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ป้องกัน ปราบปรามการเสพติด และคุ้มครองเยาวชน อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ทำการโฆษณาใด ๆ ทั้งสิ้น และความหนาแน่นในการจัดตั้งสมาคมนี้จะต้องสอดคล้องกับจำนวนประชากรในท้องถิ่นอีกด้วย

  1. การส่งมอบกัญชา

อนุญาตให้มอบกัญชาได้ไม่เกิน 25 กรัม ให้แก่สมาชิกหนึ่งคนต่อวัน ซึ่งมากสุด 50 กรัมต่อเดือน และ 30 กรัมเมื่อสมาชิกมีอายุไม่เกิน 21 ปี อีกทั้งจะมีการกำหนดค่าสูงสุดของสารออกฤทธิ์อีกด้วย โดยค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกนี้จะต้องรวมอยู่ในค่าสมาชิกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากมีความจำเป็นจะมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายตามปริมาณต่อกรัมเพิ่มเติมได้

  1. การบริโภคกัญชา

ไม่อนุญาตให้บริโภคสินค้าใน Club และไม่อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย อีกทั้ง ะมีการกำหนดระยะห่างขั้นต่ำระหว่าง Club ที่กับสถานศึกษาและโรงเรียนอนุบาล ในเขตทางเท้าไม่อนุญาตให้บริโภคกัญชาก่อน 20.00 น. นอกจากนี้ จะต้องมีการตรวจสอบค่าขีดจำกัดของกัญชาในอากาศบนการจราจร ทางถนน ทางเรือ และ ทางอากาศ ผ่านคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

  1. พื้นที่นำร่อง

ในขั้นที่ 2 จะอนุญาตให้เปิดทดลองจำหน่ายสินค้าในพื้นที่นำร่องในหลาย ๆ อำเภอ หลายเมือง และหลายรัฐ เพื่อทดลองระบบ “ห่วงโซ่อุปทานเชิงพาณิชย์” ตั้งแต่การผลิต ผ่านการขนส่ง จนถึงการจำหน่ายผ่าน Cannabis Shop และจะมีการดำเนินการตรวจสอบผ่านการค้นคว้าอย่างเป็นทางการเป็นระยะเวลา 5 ปีก่อน และจะอนุญาตให้คนในท้องถิ่นเท่านั้น นาย Lauterbach เห็นถึงความสำคัญในขั้นตอนนี้ว่า “ขั้นตอนของการทำกัญชาถูกต้องตามกฎหมายตามแผนนั้นก็ยังคงอยู่ภายใต้การแจ้งเตือนอยู่ (Subject to Notification)” หมายความว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่า EU จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวขนาดไหน แต่รัฐบาลเยอรมันก็ยังต้องการที่จะผลักดันเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุดอยู่

คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ว่า ต้องมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อการเปิดเสรีกัญชา ซึ่งเมื่อเราเปิดใจฟังเสียงของผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ กัน ในกลุ่มประเทศพื้นที่เชงเกน (Schengen Area) มีการทำระบุไว้ในความตกลงเชงเกนว่า “การจัดการ นำเข้า ผลิต จำหน่าย และการเป็นเจ้าของ (การครอบครอง) ยาเสพติดทุกประเภท (รวมไปถึงกัญชา) ได้มีการกำหนดบทลงโทษทางกฎหมายไว้” ซึ่งแน่นอนรวมไปถึงสินค้าจากกัญชาทุกประเภทด้วย

อย่างไรก็ตาม นาย Niels Lutzhöft หุ้นส่วนของสำนักงานกฎหมาย Bird & Bird มีความเห็นว่า ยังมีข้อยกเว้นในข้อตกลงระหว่างประเทศและกฎระเบียบของสหภาพยุโรปอยู่ โดยประเทศพื้นที่เชงเกน (Schengen Area) ก็ได้มีการระบุในความตกลงเชงเกนไว้ด้วยว่า หากประเทศที่ลงนามต้องการที่จะใช้กัญชาเพื่อการรักษาหรือป้องกันการเสพติดก็เป็นเรื่องในระดับประเทศ และระบุว่า “การป้องกันและบำบัดการติดสารเสพติดนั้นเป็นการตัดสินใจในระดับประเทศเช่นกัน” นาย Lutzhöft กล่าวว่า “สิ่งนี้จะทำให้เกิดผลในวงกว้าง มากกว่าการอนุญาตให้ตั้ง Cannabis Shop และโครงการนำร่องระดับภูมิภาค” ในส่วนนาย Klaus Holetschek รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของรัฐ Bayern เห็นว่า “EU น่าจะไม่ยอมรับกับแผนนี้ง่าย ๆ เพราะโครงการนำร่องนี้เปรียบเสมือนการที่รัฐเข้ามาสร้างระบบกระจายยาเสพติดอย่างเป็นทางการขึ้น และจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ต้องห้ามอย่างชัดเจนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” นาย Holetschek เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่ต่อต้านการเสรีกัญชาอย่างชัดเจน ในส่วนกลุ่มผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกัญชาต่างก็หวังว่า จะทำให้การดำเนินธุรกิจดีขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรมากนักกับแผนดังกล่าวของรัฐบาลนาย Jürgen Neumeyer จากสมาคมการใช้กัญชาเชิงธุรกิจ (Cannabiswirtschaft) กล่าวถึงแผนดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า “นี้เป็นก้าวแรกของการเดินทางที่ยาวนานและแต่ก็เป็นการเดินทางที่มีความหมาย” และกล่าวชมว่า รัฐบาลเยอรมันพร้อมที่จะร่วมงานกับรัฐที่พร้อมที่จะปฏิรูประบบดังกล่าว และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถทำลายตลาดมือลงได้ แน่นอนแผนนี้จะทำให้ประเทศสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น จากงานวิจัยของนาย Justus Haucap นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากในปี 2021 มีการเสรีกัญชาเกิดขึ้นรัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมได้สูงถึง 4.7 พันล้านยูโร ในเวลาเดียวกันก็จะมีการจ้างงานในธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 27,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามนาย Haucap กล่าวว่า หากดำเนินไปตามแผนดังกล่าวในเวลานี้ “ไม่น่าจะมีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” เพราะยังขาดการเสรีกัญชาแบบทั่วทุกพื้นที่ และไม่มีธุรกิจปลูกและจำหน่ายที่ถูกต้องตามกฎหมาย

จาก Handelsblatt 5 พฤษภาคม 2566

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน (Thanit Hirungitrungsri)

thThai