จากผลสำรวจของสถาบันวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ ifo (ifo Institute for Economic Research) ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเยอรมนีในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเยอรมนีประเทศที่มี GDP สูงสุดในสหภาพยุโรป
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (ifo Business Climate Index) ในเดือนมิถุนายนขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.4 จากที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 88.2 ซึ่งระดับปัจจุบันมากกว่าดัชนีเดือนพฤษภาคมในระดับ 87.5 ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน และจัดอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2023
ประธานสถาบัน ifo ระบุว่า “ผลสำรวจสะท้อนว่าบริษัทในเยอรมนีมีความพึงพอใจมากขึ้นต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และมองอนาคตในแง่ดีมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา” เป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจเยอรมนีกำลัง “ค่อย ๆ ฟื้นตัว” จากปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน
รายละเอียดในแต่ละภาคส่วน
รายงานของ ifo แสดงให้เห็นว่าดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นครอบคลุมหลายภาคธุรกิจ โดยมีจุดเด่น ได้แก่:
1. ภาคบริการ (Service Sector): มีการฟื้นตัวเด่นชัดที่สุด โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
2. ภาคก่อสร้าง (Construction): ความเชื่อมั่นพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลกลางประกาศใช้อย่างเป็นรูปธรรม
3. ภาคอุตสาหกรรมและการผลิต (Manufacturing): ในภาคการผลิต บรรยากาศทางธุรกิจมีสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยหลายบริษัทเริ่มมองอนาคตในเชิงบวกมากขึ้น แม้ว่าผลประกอบการในปัจจุบันจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และยอดคำสั่งซื้อยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก แต่โดยรวมแล้ว ทิศทางของภาคการผลิตของเยอรมนีกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัว
4. ภาคการค้า (Trade): ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นหลังอัตรา เงินเฟ้อลดลงและต้นทุนสินค้าเริ่มมีเสถียรภาพ การค้าส่ง (Wholesale) อยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น ในขณะที่การค้าปลีกชะลอตัวลงเล็กน้อย (Retail)
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต.
-
- จากผลสำรวจครั้งนี้มีความสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่รัฐบาลเยอรมนีเพิ่งประกาศ แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 46,000 ล้านยูโร เพื่อผลักดันการฟื้นตัวผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสีเขียว และนวัตกรรม
- แนวโน้มความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภาคธุรกิจสะท้อนให้เห็นว่า เยอรมนีกำลังก้าวผ่านช่วงเวลา แห่งความไม่แน่นอน มาตรการของรัฐบาลและการลดดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้สร้างบรรยากาศเชิงบวกต่อการลงทุนและผู้บริโภค
- ผู้ประกอบการไทยควรเร่งสร้างความร่วมมือทางการค้ากับพันธมิตรในเยอรมนี โดยเน้นเจาะตลาดในกลุ่มสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่กำลังฟื้นตัวในประเทศ เช่น โลจิสติกส์, วัสดุก่อสร้างและเทคโนโลยีการก่อสร้าง, บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก, และ อาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งนี้ การมีคู่ค้าท้องถิ่นในเยอรมนีจะช่วยให้เข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายในยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ในด้านยุทธศาสตร์พื้นที่ ผู้ประกอบการควรบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมการค้าไปยังเมืองเศรษฐกิจหลักของเยอรมนี เช่น แฟรงก์เฟิร์ต (ด้านการเงินและโลจิสติกส์), ฮัมบูร์ก (เมืองท่าการค้าและพลังงาน), มิวนิก (ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรม), และ ดึสเซลดอร์ฟ (แหล่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์และออกแบบผลิตภัณฑ์) ซึ่งล้วนเป็นเมืองที่มีแนวโน้มเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวและมีศักยภาพในการเป็นจุดเชื่อมต่อสู่ตลาดยุโรป นอกจากนี้ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเฉพาะทางในเยอรมนี จะช่วยสร้างเครือข่ายพันธมิตรและเพิ่มโอกาสในการพบผู้ซื้อโดยตรง ตัวอย่างงานแสดงสินค้าสำคัญ เช่น Anuga งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเพิ่มโอกาสให้สินค้าอาหารไทยในตลาดยุโรป และงานแสดงเทคโนโลยีก่อสร้างและเครื่องจักรกลชั้นนำระดับโลก Bauma เหมาะสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
- ในช่วงที่ภาคธุรกิจเยอรมันเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเจาะตลาดใหม่ หรือขยายฐานการค้าเดิมในเยอรมนีและสหภาพยุโรป ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยข้อได้เปรียบของไทยที่มีสินค้าเกษตร อาหาร บริการสุขภาพ และโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพและต้นทุนแข่งขันได้
กลุ่มสินค้าศักยภาพ
1) สินค้าในกลุ่ม BCG Economy ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ผลิตภัณฑ์จากวัสดุรีไซเคิล และสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม
2) อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น อาหาร Plant-Based, เครื่องดื่มสมุนไพร, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
3) บริการแบบครบวงจรด้าน Fulfillment & Logistics สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในยุโรปที่กำลังเติบโต
6. GDP ของเยอรมนีคาดว่าจะกลับมาเติบโตในระดับ 0.3% ภายในปีนี้ และอาจเร่งตัวขึ้นเป็น 1.2–1.5% ในปี 2026 หากปัจจัยภายนอกไม่ส่งผลกระทบรุนแรง อาทิ สงคราม ต้นทุนพลังงาน หรือความขัดแย้งทางการค้า ดังนั้น ปี 2025 ถือเป็นโอกาสทองที่ผู้ประกอบการไทยควรวางกลยุทธ์ล่วงหน้า เพื่อเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพสูงในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
****************************************************
สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต
ที่มา: www.ifo.de