นโยบายพลังงานของรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนไม่ถูกติงหนัก

นาง Katherina Reiche สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) ที่เพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงในวาระเข้าดำรงตำแหน่งฯ ว่า “การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซที่มีกำลังการผลิต 20 กิกะวัตต์ (GW) เป็นเรื่องสำคัญที่สุด” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมอุตสาหกรรม Reiche ได้เน้นย้ำเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า เธอตั้งใจจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีใครในอุตสาหกรรมพลังงานตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ แต่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่จะสร้างโรงงานจำนวนมากที่มีกำลังการผลิตรวมกันมากถึง 20 กิกะวัตต์ นั้นได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กล่าวคือ นาย Simone Peter ประธานสมาพันธ์พลังงานหมุนเวียนแห่งเยอรมนี (BEE – Bundesverband Erneuerbare Energie) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Handelsblatt ว่า “ผมมองเห็นความเสี่ยงที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ มากกว่าที่มีความจำเป็นจริง ๆ รัฐบาลกลางชุดใหม่ไม่ควรประเมินศักยภาพของโรงงานจัดเก็บพลังงานไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ และทางเลือกอื่น ๆ ต่ำเกินไป เพราะทางเลือกอื่นๆ นั้น สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นในโครงสร้างเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าของเราได้” โดยเขายังได้กล่าวอีกว่า ทางเลือกทั้งหมดที่กล่าวมานี้ “สะอาดกว่า เร็วกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมถึงยังเป็นมิตรต่อระบบ มากกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซแห่งใหม่เพียงอย่างเดียว” นอกจากนี้ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์เยอรมนี (ZVEI – Zentralverband Elektrotechnik- und Elektronikindustrie) ได้ออกมาเตือนว่า “กำลังการผลิตส่วนเกินที่ประเทศต้องซื้อมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล และจัดหาเงินทุนผ่านการสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น”

ในอนาคตโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซแห่งใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่เมื่อการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไปจนถึงช่วงที่ “ลมไม่พัด แดดไม่ออก” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในปริมาณต่ำมากนั่นเอง โดยอาจมีเวลานานถึง 2 สัปดาห์ก็ได้ โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ตั้งใจจะสร้างขึ้นมานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินในปัจจุบัน โดยโรงไฟฟ้าถ่านหินจะยังคงทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าสำรอง (Back-up) อยู่ แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้จะต้องปิดตัวลงโดยเร็วที่สุดด้วยเหตุผลด้านการอนุรักษ์สภาพภูมิอากาศ การสร้างโรงไฟฟ้า Back-up แห่งใหม่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ท้าทายมาสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ในอดีตกลุ่มพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลชุดเก่าได้พยายามสร้างแรงจูงใจทางกฎหมายต่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า (KWSG) ที่วางแผนไว้ล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อกลุ่มพรรคร่วมล่มสลายลงในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาหลักก็คือ ข้อพิพาทกับคณะกรรมาธิการยุโรปเกี่ยวกับขอบเขตของเงินอุดหนุนสำหรับการก่อสร้าง และการดำเนินการโรงไฟฟ้าที่จะสร้างใหม่นี้กินเวลาหลายเดือนนั่นเอง ตอนนี้นาง Reiche กำลังพยายามใหม่อีกครั้ง โดยได้ตั้งมาตรฐานให้สูงขึ้นไปอีก ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อนได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างแรงจูงใจในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 12.5 กิกะวัตต์ ภายในปี 2030 นาง Reiche ต้องการสร้างแรงจูงใจในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 20 กิกะวัตต์ ซึ่งกำลังการผลิตที่สูงถึง 20 กิกะวัตต์ นี้เทียบเท่ากับต้องโรงไฟฟ้าใหม่ขนาดใหญ่ประมาณ 40 โรง เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ตั้งเมื่อปี 2030 ถือว่า เป็นไปไม่ได้แล้วที่รัฐบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ โดยปกติแล้ว จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาน 6 ปี ตั้งแต่การวางแผนจนถึงการว่าจ้างโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ ดังนั้นนาง Reiche จึงประกาศเมื่อไม่นานนี้ว่า เธอตั้งใจที่จะเปิดตัวโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 5 – 10 กิกะวัตต์ เป็นอันดับแรกก่อน ซึ่งเธออธิบายว่า นี่เป็น “เรือเร็ว” ที่จำเป็น โดยการประมูลโรงไฟฟ้าเหล่านี้จะพร้อมเริ่มดำเนินการ “ภายในสิ้นปีนี้”

 

นาง Reiche ไม่ทิ้งข้อสงสัยใด ๆ ว่า โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญสำหรับเธอขนาดไหน โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ Handelsblatt ว่า “เราต้องการเครื่องมือหลาย ๆ อย่าง ที่มีในการผลิตไฟฟ้า แต่โรงไฟฟ้าก๊าซจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักสุด” ซึ่ง Reiche ได้รับการสนับสนุนจากนาย Andreas Lenz (CSU) โฆษกด้านนโยบายพลังงานของกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภาฯ ของ กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) โดยกล่าวว่า “การก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่ เป็นเรื่องสำคัญมาก หากเราไม่สามารถดำเนินการประกวดราคารอบแรกได้โดยเร็ว ความเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านอุปทานก็จะเพิ่มขึ้น” อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบางราย อาทิ นาง Aurélie Alemany ผู้บริหารของบริษัท Enercity บริษัทสาธารณูปโภคระดับภูมิภาคในเมือง Hannover เชื่อว่า “โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่มี” โดยเธอกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Energate ผู้ให้บริการด้านอุตสาหกรรมฯ ว่า “เราสนับสนุนให้ขยายพื้นที่ในระบบ สร้างความหลากหลายในทางเลือกอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดเก็บไฟฟ้า ขยายความยืดหยุ่นการใช้พลังงานไฟฟ้า และการโหลดพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมได้ในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติใหม่เพียงอย่างเดียว” เมื่อไม่นานนี้ โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างความมั่นคงด้านอุปทานความต้องการไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยนาง Alemany ยกตัวอย่างเฉพาะ “ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการโรงไฟฟ้าแบบผลิตพลังงานความร้อนและไฟฟ้าผสมที่สามารถใช้งาน Renewable Natural Gas (RNG) มาผสมจำนวน 2 โรงไฟฟ้า ในเมือง Hannover ซึ่งทำให้เรายุติการใช้งานถ่านหินได้ ดังนั้นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือกเดียวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการเป็นโครงการแบบกระจายพื้นที่ทั่วเยอรมนีสามารถดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแน่นอน

 

สำหรับบริษัท Vattenfall ผู้ผลิตพลังงานได้พัฒนา “โครงการริเริ่มเพิ่มความยืดหยุ่น” ขึ้น โดยได้ระบุมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นไว้ ซึ่งโครงการนี้จะทำให้โรงไฟฟ้าก๊าซบางแห่งที่เคยวางแผนไว้ในอดีต สูญเสียความจำเป็นในที่สุด โดย Vattenfall เชื่อว่า (1) จะต้องส่งเสริมการซื้อขายไฟฟ้าและการขยายเครือข่ายไฟฟ้าทั่วทั้งยุโรป (2) ขยายความพร้อมใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจัดเก็บพลังงานแบบยืดหยุ่นออกไป และ (3) ส่งเสริมความยืดหยุ่นในด้านอุปสงค์ในความต้องการพลังงานไฟฟ้า ในทางปฏิบัติสำหรับภาคอุตสาหกรรมความยืดหยุ่นด้านอุปสงค์นั้น อาจหมายถึงการปรับสายการผลิตให้สอดคล้องกับอุปทานไฟฟ้าในปัจจุบันให้มากขึ้น โดยในโครงการนี้ ได้ระบุว่า “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะสามารถมั่นใจถึงความปลอดภัยด้านอุปทานพลังงานได้” แต่ “การอุดหนุนเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้แหล่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการลงทุนอย่างสิ้นเชิง และมีความเสี่ยงทำให้ถูกจำกัดในการเลือกใช้ระบบจัดเก็บพลังงาน อีกทั้งทำให้ความยืดหยุ่นในเทคโนโลยีอื่น ๆ หลุดออกจากตลาด” ไปได้โดยอัตโนมัติ นาย Achim Dercks รองกรรมการผู้จัดการของสภาหอการค้าพาณิชย์และอุตสาหกรรมเยอรมนี (DIHK – Der Deutsche Industrie- und Handelskammertag) เห็นว่า การให้ความสำคัญต่อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซเพียงอย่างเดียวจะทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปเข้ามาวุ่นวายตั้งประเด็นสอบถามมากขึ้นอีกด้วย กล่าวว่า “ความตั้งใจของเยอรมนีต่อการที่โรงไฟฟ้าก๊าซอาจก่อให้เกิดปัญหาภายใต้กฎหมายความช่วยเหลือของรัฐ คณะกรรมาธิการยุโรปเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดกว้างทางเทคโนโลยี และมาตรการข้ามพรมแดนเป็นประจำ”

 

จาก Handelsblatt 27 มิถุนายน 2568

thThai