1. สถานการณ์ตลาดและแนวโน้มสินค้า

    สาธารณรัฐเช็กเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประชาชนมีระดับรายได้เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง GDP per capita ของสาธารณรัฐเช็กอยู่ที่ 31,591.20 เหรียญสหรัฐ (ข้อมูลปี 2023 จาก WORLD BANK) โดยประชากรในเขตเมืองที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความงาม และการดูแลตนเอง ส่งผลให้สินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทดลองกับสัตว์ (cruelty-free) จากข้อมูลปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) มูลค่าการนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลของสาธารณรัฐเช็กอยู่ที่ประมาณ 2,061.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.91 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสาธารณรัฐเช็กนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกันกว่าร้อยละ 50 ของตลาดทั้งหมด ขณะที่ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดเช็กในปีเดียวกันอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.08 ของการนำเข้าทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพสินค้าไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพร ซึ่งสามารถต่อยอดจากภาพลักษณ์ความเป็นไทยที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคเช็กที่หันมาสนใจสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น

   1.1 ความต้องการและพฤฒิกรรมของผู้บริโภค

         ตลาดเครื่องสำอางของเช็กแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (ครัวเรือน) และ กลุ่มธุรกิจ เช่น ร้านเสริมสวย ร้านค้าปลีกเฉพาะทาง และร้านค้าออนไลน์ โดยตลาดออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนแปลงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บริโภคชาวเช็กส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าบนพื้นฐานของราคา โดยผู้บริโภคเช็กกว่าร้อยละ 90 เลือกสินค้าราคาประหยัดหรือสินค้าทดแทนสินค้าแบรนด์เนม รองลงมาคือ คุณภาพ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าใหม่ในตลาด หากราคาสูงเกินไปโดยไม่มีความโดดเด่นด้านคุณภาพหรือภาพลักษณ์ที่แข็งแรง อาจทำให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าจากประเทศอื่นที่คุ้นเคยมากกว่า รวมถึงนิยมสินค้า private label ของ Drugstores เช่น Balea (dm) และIsana (Rossmann) แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกผลิตภัณฑ์ natural/organic/eco-friendly สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนรักสุขภาพ และความยั่งยืน โดยจะค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่วนผสมอย่างละเอียด สำหรับตลาดเครื่องสำอางในสาธารณรัฐเช็ก การวางกลยุทธ์ “เจาะตลาด” ควรเริ่มจากการเข้าใจ “กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายหลัก” ที่มีศักยภาพสูง และพฤติกรรมเชิงลึกของแต่ละกลุ่ม โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:

กลุ่ม ลักษณะเฉพาะ ช่องทางที่นิยม แนวทางเจาะตลาด
1. ผู้หญิงวัยทำงาน (25–45 ปี) รายได้ปานกลาง-สูง ใส่ใจภาพลักษณ์ ใช้สกินแคร์เป็นประจำ Notino, dm, Sephora, Douglas โฟกัส premium skincare, anti-aging, ingredient
2. กลุ่มวัยรุ่น & Gen Z (16–24 ปี) ตามกระแส Influencer, คำนึงเรื่องราคาเป็นสำคัญ K-Beauty store, IG/ TikTok, Alza, Shopee EU จับมือกับ Influencer รีวิวสินค้า, TikTok, กระแส K-Beauty
3. กลุ่มรักษ์ธรรมชาติ / Eco-conscious ชอบผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก/

ไม่มีสารเคมี

Manufaktura, dm organic, Biooo.cz เน้น natural claims, zero-waste packaging, EU-certificate
4. กลุ่มผู้ชายดูแลตัวเอง (Men’s grooming) ใช้ผลิตภัณฑ์ผิว, หนวดเครา, แชมพูเฉพาะสำหรับผู้ชาย dm, Alza, online specialist สื่อสารด้วย masculine branding, performance-based
5. กลุ่มผิวแพ้ง่าย / Dermocosmetic ปัญหาผิว ต้องการผลลัพธ์ชัดเจน ร้านขายยา, Bioderma, Eucerin, La Roche-Posay ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์, รีวิวทางการแพทย์, แจกสินค้าทดลอง
6. กลุ่มผู้สูงวัย / 50+ มีกำลังซื้อ ต้องการ anti-aging ที่เห็นผล Sephora, Douglas, ร้านขายยา เน้นครีมบำรุงล้ำลึก, การดูแลรอบดวงตา/คอ, luxury brand
7. กลุ่ม niche / K-Beauty รู้จักแบรนด์เกาหลีอย่างลึกซึ้ง korejskakrasa.cz, ksisters.cz เปิด pre-order, รีวิวเชิงลึก, ชูแบรนด์ niche ที่ไม่มีคู่แข่ง

1.2 ช่องทางจัดจำหน่าย ที่สำคัญของสินค้าเครื่องสำอางในตลาดเช็ก ได้แก่

1.2.1 ร้าน Drugstores และร้านเฉพาะทางเกี่ยวกับสินค้าสุขภาพ/ความงาม เช่น ร้าน dm, Rossmann, Teta, และเครือร้านขายยาขนาดใหญ่ เช่น Dr. Max, BENU, Alphega Pharmacy ร้านเหล่านี้ครอบคลุมยอดขายกว่าร้อยละ 59 ของกลุ่มสุขภาพ/ความงาม

1.2.2 ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น Albert, Billa, Kaufland, Lidl, Penny, Globus ที่มีการวางจำหน่ายสินค้าในหมวดสุขภาพ/ความงามเบื้องต้น

1.2.3 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Notino, dm, Sephora, Douglas, Alza และ Allegro ที่เป็นผู้นำตลาดค้าปลีกออนไลน์

1.2.4 ร้านค้าเฉพาะทางที่จำหน่ายเครื่องสำอางธรรมชาติและออร์แกนิก เช่น ร้าน Manufaktura, Botanicus เน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและของฝากท้องถิ่นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามกระแสการดูแลสุขภาพ

1.2.5 ร้านเครื่องสำอางแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น korejskakrasa.eu หรือ ksisters.cz จำหน่ายเฉพาะสินค้า K‑Beauty แบรนด์ที่ได้รับความนิยมเช่น Beauty of Joseon, Cosrx, Round Lab, Anua, Missha เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าทั้งในรูปแบบออนไลน์และร้านจำหน่ายปลีก

 

  1. สถิติการนำเข้าเครื่องสำอางของสาธารณเช็กในปีพ.ศ. 2568

ภาพรวมการนำเข้าเครื่องสำอาง (HS 33 รวมน้ำมันหอมระเหย) ของสาธารณรัฐเช็กปี 2568 (ม.ค. – เม.ย.)

 แนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสาธารณรัฐเช็ก

Source: Ministry of Industry and Trade, Czech Statistical office, April 2025

ในปี 2568 (มกราคม เมษายน) สาธารณรัฐเช็กนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางรวม 653.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 0.86 ซึ่งจากสถิติตัวเลขจะเห็นได้ว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ส่งออกเครื่องสำอางรายสำคัญให้กับสาธารณรัฐเช็ก และมีส่วนแบ่งการตลาดในปี 2568 (มกราคม เมษายน) อยู่ที่ร้อยละ 24.69 ตามมาด้วยเยอรมัน มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 13.82 เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.19 และอันดับที่ 3 ได้แก่ อิตาลี มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 8.46 สำหรับประเทศไทย แม้ว่ามีการเติบโตของมูลค่าการส่งออกในปี 2567 สูงถึงร้อยละ 40.66 แต่สัดส่วนตลาดยังคงอยู่ในระดับต่ำ เพียงร้อยละ 0.08 ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ไทยเสียโอกาสทางการตลาด คือข้อจำกัดด้านต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูง และมาตรฐานการผลิตและการรับรองตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป เช่น EU Cosmetic Regulation (EC No. 1223/2009) ซึ่งเข้มงวดต่อความปลอดภัยของส่วนผสมและการติดฉลากสินค้า อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยสามารถผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไทยสหภาพยุโรป (FTA ไทย–EU) ให้สำเร็จ รวมถึงสนับสนุนผู้ส่งออกในการพัฒนาและรับรองมาตรฐานสินค้าเครื่องสำอางตามข้อกำหนดของ EU จะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออก และยกระดับภาพลักษณ์ของเครื่องสำอางไทยในตลาดยุโรปได้มากยิ่งขึ้น

 

ภาพรวมการนำเข้าเครื่องสำอาง (HS 33) แบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ของสาธารณรัฐเช็ก ปี 2568 (ม.ค. – มี.ค.)

แนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสาธารณรัฐเช็ก 

การนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของสาธารณรัฐเช็กเมื่อแบ่งตามหมวดหมู่สินค้า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางตกแต่งใบหน้า (HS 3304) เป็นสินค้าที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 32.24 ของการนำเข้าทั้งหมด โดยนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และเกาหลีใต้ เรียงตามลำดับ รองลงมาคือสินค้าน้ำหอมและโคโลญ (HS 3303) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.78 โดยนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยสเปน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (HS 3305) คิดเป็นร้อยละ 11.73 ของการนำเข้า จากประเทศเยอรมนี อิตาลี และสเปน สินค้าประเภทสารแต่งกลิ่นที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มหรือในอุตสาหกรรม (HS 3302) มีการนำเข้าร้อยละ 8.24 นำเข้าจากเยอรมนี ไอร์แลนด์ และฝรั่งเศส กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ยาสีฟัน และผลิตภัณฑ์โกนหนวด (HS 3306 และ 3307) มีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 4.54 และ 7.15 ตามลำดับ โดยแหล่งนำเข้าหลักคือ โปแลนด์ สโลวาเกีย และเยอรมนี ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ขณะที่เยอรมนี โปแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ส่งออกหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและโกนหนวด ในส่วนของน้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากธรรมชาติ (HS 3301) มีสัดส่วนร้อยละ 0.56 ของการนำเข้า โดยมีอินเดีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศคู่ค้าหลัก ทั้งนี้ ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี นอกจากจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในสหภาพยุโรป (EU) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดในการควบคุมคุณภาพ ยังมีข้อได้เปรียบจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของทั้งสองประเทศทำให้ไม่มีภาษีนำเข้าระหว่างกันตามกฎของตลาดเดียว (Single Market) ส่วนเกาหลีใต้ ได้รับสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี EU–South Korea FTA ทำให้ภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าประเภทเครื่องสำอางลดลงเหลือศูนย์ อีกทั้งเกาหลียังมีภาพลักษณ์ด้าน “K-beauty” ที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดยุโรป

มูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางจากประเทศไทย ปี 2568 (ม.ค. – มี.ค.)

แนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสาธารณรัฐเช็ก

จากสถิติการนำเข้าเครื่องสำอางจากประเทศไทยมายังสาธารณรัฐเช็ก แสดงให้เห็นว่าสินค้าในกลุ่ม HS 3307 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ก่อน–หลังโกนหนวด เป็นสินค้าหลักที่สาธารณรัฐเช็ก   มีการนำเข้าสูงสุด โดยในปี 2566 (ค.ศ. 2023) มีมูลค่านำเข้า 759,000 เหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นเป็น 1.125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2567 (ค.ศ. 2024) อย่างไรก็ตาม สินค้าหมวดนี้ยังถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดของไทยในตลาดเครื่องสำอางเช็ก ตามมาด้วยกลุ่ม HS 3304 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอางตกแต่งใบหน้า และผลิตภัณฑ์กันแดด ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 มีมูลค่านำเข้า 247,000 เหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นเป็น 363,000 เหรียญสหรัฐฯ ในปี 2567 ทั้งนี้ หากได้รับแรงหนุนจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี คาดว่ามูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางในปี 2568 มีแนวโน้มจะเติบโตสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า โดยสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (HS 3305) และ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหย (HS 3301) มีแนวโน้มเติบโตปานกลาง ขณะที่สินค้าบางกลุ่ม เช่น น้ำหอม (HS 3303) และผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก (HS 3306) มีการนำเข้าในปริมาณไม่มากนัก ซึ่งเกิดจากการแข่งขันที่สูงจากแบรนด์ยุโรปและข้อจำกัดด้านการตลาดของผู้ผลิตไทย ซึ่งโดยรวมแล้ว มูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางจากประเทศไทยมายังสาธารณรัฐเช็กแม้จะมีการเติบโตในบางช่วงปี แต่ยังไม่สม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น ที่มีทั้งข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป และภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่า ทั้งนี้ หากประเทศไทยต้องการเพิ่มศักยภาพในตลาดเช็ก ควรเร่งผลักดันการพัฒนาแบรนด์ไทยในหมวดสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโต เช่น สกินแคร์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการให้ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสหภาพยุโรป และใช้ช่องทางออนไลน์และการตลาดแบบดิจิทัลผ่านเว็ปไซต์อย่าง Notino, Alza และ Allegro เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวยุโรปได้โดยตรงมากยิ่งขึ้น

 

  1. กฎระเบียบการนำเข้าและอัตราภาษี

    ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 สาธารณรัฐเช็กได้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป กฎหมายศุลกากรและกฎระเบียบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของสหภาพยุโรป (Cosmetics Directive 76/768/EEC และ 1223/2009 EC) จึงมีผลบังคับใช้กับการนำเข้าสินค้าทั้งหมด รวมถึงเครื่องสำอางด้วย สำหรับในสาธารณเช็กก็มีกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง คือ กฤษฎีกาหมายเลข 448/2009 ของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่าด้วยข้อกำหนดด้านสุขอนามัยสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายของสหภาพยุโรปข้างต้น โดยล่าสุดได้มีการแก้ไขกฎระเบียบหมายเลข 1223/2009 EC โดยเพิ่มกฎระเบียบการติดฉลากสารก่อภูมิแพ้ในน้ำหอม 2023/1545 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 โดยกฎระเบียบดังกล่าวระบุว่าสารก่อภูมิแพ้ จำนวน 24 ชนิดจากน้ำหอมใดๆ ในรายการส่วนผสม แม้ว่าสารเหล่านั้นจะเป็นส่วนประกอบของน้ำหอม กลิ่น หรือส่วนผสมที่ซับซ้อนก็ตาม ที่เกินขีดจำกัดที่สหภาพยุโรปกำหนดจะต้องระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นการปกป้องผู้บริโภคที่เสี่ยงมีอาการแพ้

  • ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางเข้าสู่ตลาดเช็ก/สหภาพยุโรป

3.1.1 การแต่งตั้งตัวแทนผู้รับผิดชอบใน EU (Authorized Person) ผู้นำเข้าจะต้องแต่งตั้งบุคคลหรือบริษัทที่มีถิ่นพำนักในสหภาพยุโรปเป็นผู้รับผิดชอบในการนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเข้าสู่ตลาดของสาธารณรัฐเช็ก/สหภาพยุโรป

3.1.2 การประเมินความปลอดภัย (Safety Assessment)

  • ต้องดำเนินการทดสอบผลิตภัณฑ์ในห้องแล็บที่ได้รับอนุญาต ในเช็กคือ National institute of public health (NIPH)
  • ต้องใช้ผลิตภัณฑ์จำนวน 3 ตัวอย่าง และต้องระบุส่วนผสมและความเข้มข้นเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องเป็นชื่อทางเคมีของส่วนผสมแต่ละชนิดที่ระบุโดย INCI (International Nomenclature of Cosmetic Ingredients)

3.1.3 ผู้รับผิดชอบในการนำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่นำเข้าเข้าสู่ตลาดเช็ก/สหภาพยุโรป มีหน้าที่ต้องเก็บเอกสารทางเทคนิค (technical documentation) เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุม ซึ่งเอกสารทางเทคนิคจะต้องเข้าถึงได้โดยง่ายสำหรับหน่วยงานรัฐ และต้องเก็บรักษาไว้เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ชุดสุดท้ายสู่ตลาด ซึ่งมีข้อมูลดังต่อไปนี้ คำอธิบายผลิตภัณฑ์, องค์ประกอบเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของผลิตภัณฑ์, ข้อมูลจำเพาะด้านเคมีและจุลชีววิทยาของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์และเกณฑ์การควบคุมความบริสุทธิ์และจุลชีววิทยาสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง, สิ่งเจือปนและข้อมูลบนวัสดุบรรจุภัณฑ์, วิธีการผลิต, การประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต่อสุขภาพของมนุษย์, ชื่อและที่อยู่ของผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่รับผิดชอบในการประเมินความปลอดภัย, ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพของมนุษย์อันเป็นผลมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง, หลักฐานของผลลัพธ์ที่เกิดจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยต้องพิสูจน์ตามลักษณะของผลลัพธ์หรือผลิตภัณฑ์ และ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทดลองกับสัตว์

3.1.4 การแจ้งข้อมูลผลิตภัณฑ์ (CPNP Notification) ต้องแจ้งข้อมูลสินค้าในระบบออนไลน์ Cosmetic Products Notification Portal (CPNP)

3.1.5 ข้อมูลบังคับบนฉลาก ต้องระบุ ชื่อและที่อยู่ของผู้นำเข้า/ผู้ผลิตในสหภาพยุโรป, ประเทศต้นทาง, ปริมาณสุทธิ (g หรือ ml), วันหมดอายุหรือช่วงเวลาที่ใช้ได้หลังเปิดใช้, คำเตือน/วิธีใช้, เลขล็อตสินค้า, รายการส่วนผสมตาม INCI และรายการสารก่อภูมิแพ้ตาม Regulation 2023/1545 EU

หมายเหตุ: ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์: www.szu.cz, http://ec.europa.eu/growth/tools-databases/cosing/ http://ec.europa.eu/DocsRoom/documents/12943/attachments/1/translations

  3.2 อัตราภาษีนำเข้า

H.S. Description Import Duty

for Thailand

3304 SKINCARE AND BEAUTYCARE PREPARATIONS 0 %
3301 ESSENTIAL OILS, RESINOIDS, CONCENTRATES OF ESSENTIAL OILS, AQUAEOUS SOLUTIONS OF ESSENTIAL OILS ETC. 0 % – 7 %
3307 OTHER TOILET

AND COSMETIC PREPARATIONS (including preparations for perfuming or deodorising rooms)

6,5 %

Source: EU TARIC, 2024

สำหรับรายละเอียดของภาษีศุลกากรและข้อจำกัดสามารถดูได้เพิ่มเติมที่เว็ปไซต์ของสหภาพยุโรป http://ec.europa.eu/taxation_customs/dds2/taric

  1. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ

    ตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสาธารณรัฐเช็กมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคในเมืองที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ความงาม และภาพลักษณ์ภายนอก อีกทั้งยังมีกระแสนิยมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ออร์แกนิก และปราศจากการทดลองในสัตว์ (Cruelty-free) โดยผู้บริโภคมักให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ราคา และภาพลักษณ์ของแบรนด์ แม้ว่าการนำเข้าแต่เดิมมาจากประเทศในแถบยุโรปเป็นหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการนำเข้าจากประเทศในแถบเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดีย และเกาหลีใต้ โดยปัจจุบันผู้นำตลาดได้แก่ ฝรั่งเศส ซึ่งได้เปรียบจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้ปลอดภาษีนำเข้าและได้รับการยอมรับเรื่องมาตรฐานสินค้า สำหรับเกาหลีใต้ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากกระแส K-Beauty และข้อตกลงการค้าเสรี EU–South Korea FTA ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในสาธารณรัฐเช็ก ดังนี้

แบรนด์ กลุ่มเป้าหมายหลัก จุดเด่นในการเจาะตลาด
Balea (dm) ผู้บริโภคที่คำนึงด้านราคาเป็นสำคัญ Private label, ราคาไม่สูง
Beauty of Joseon Gen Z / K-Beauty fan รีวิวสินค้าผ่านสื่อโซเชียล
Manufaktura นักท่องเที่ยวและคนรักธรรมชาติ ชูว่าเป็นสินค้าของเช็ก (Made in CZ), และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
The Ordinary ผู้บริโภคที่คำนึงเรื่องส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก

สำหรับกลยุทธ์ในการเจาะตลาดเช็กที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ สามารถสรุปได้ ดังนี้

  1. Localization (ปรับเนื้อหาให้เข้ากับเช็ก) จัดทำฉลากและเว็บไซต์เป็นภาษาเช็ก เนื่องจากผู้บริโภคกว่าร้อยละ 70 ใช้ภาษาเช็กเท่านั้น
  2. ร่วมกับ Influencer เช็ก ในการส่งเสริมสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม IG หรือ TikTok ซึ่งมีอิทธิพลมากในหมวดเครื่องสำอาง/ความสวยความงาม ตัวอย่างเช่น แคมเปญของ Notino หรือ K-Beauty ที่เป็นไวรัลบน TikTok เช็กในปี 2024 ผ่าน Micro-influencer (5K–50K followers)
  3. ทดลองขายผ่าน Marketplace ที่เชื่อถือได้ อาทิ Alza.cz หรือ Notino ซึ่งผู้บริโภคเช็กมักไว้วางใจแพลตฟอร์มที่รู้จักมากกว่าการซื้อจากแบรนด์ตรงที่ไม่เคยได้ยิน
  4. ใช้แพ็กเกจทดลอง (Mini-size, starter set) ผู้บริโภคเช็กชอบ “ลองก่อนตัดสินใจซื้อ” โดยเฉพาะสกินแคร์ โดยการขายแบบเซตทดลอง หรือ subscription box มีแนวโน้มดีกว่า full-size
  5. สร้างคอนเทนต์ให้ความรู้ ในกลุ่ม Dermocosmetic และ Natural Skincare โดยใช้บทความ Blog, How-to, การรีวิวส่วนผสม (เช่น Retinol, Niacinamide) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
  6. เข้าร่วมงานแสดงสินค้าสุขภาพความงามหรือเจาะตลาด B2B อาทิ งาน Beauty Expo Prague หรือ World of Beauty & Spa เป็นจุดเริ่มที่ดีสำหรับแบรนด์ใหม่

นอกจากนี้ การสร้างความน่าเชื่อถือและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ เช่น การเน้นจุดขายเรื่องส่วนผสมจากธรรมชาติ การใช้สมุนไพรไทยหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์ ในด้านกฎระเบียบ ผู้ประกอบการควรตระหนักว่าสาธารณรัฐเช็กในฐานะประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรปอย่างเคร่งครัด สำหรับช่องทางการการจำหน่าย ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวเช็กได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งร้านค้าปลีกเฉพาะทาง ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และช่องทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในประเทศ รวมถึงการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้สามารถเจาะตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้สาธารณรัฐเช็กจะถือเป็นตลาดปลายทางขนาดกลางในยุโรป แต่ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ใจกลางทวีปยุโรปและระบบโลจิสติกส์ที่พัฒนาแล้ว ประเทศนี้ยังสามารถใช้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตะวันออกได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ จึงนับเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าเครื่องสำอางไทย หากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของผู้บริโภค ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป และวางกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถขยายโอกาสทางการค้าในภูมิภาคยุโรปตะวันออกได้อย่างยั่งยืนต่อไป

thThai