เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 นาย Mark Post ศาสตราจารย์จากคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเมืองมาสทริกต์ (Maastricht University) ได้นำเสนอนวัตกรรมที่กรุงลอนดอน โดยผลงานก็คือ เบอร์เกอร์ชิ้นแรกของโลกที่ทำจากเนื้อวัวที่เพาะเลี้ยงด้วยเซลล์ ซึ่งเป็นเนื้อวัวที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ ซึ่งตอนนั้นต้นทุนของการผลิตเบอร์เกอร์ชนิดนี้ อยู่ที่ 250,000 ยูโร (โดยประมาณ) สำหรับเป้าหมายของ Post และบริษัท Mosa Meat ต้องการที่จะผลิตเนื้อสัตว์ด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทำให้สัตว์ต้องทุกข์ทรมาน และเป็นเวลามากกว่าสิบปีแล้วที่บริษัทเทคโนโลยีอาหารต่าง ๆ ในยุโรปพยายามหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพิงการเกษตรแบบดั้งเดิมในการผลิตอาหาร โดยเหตุผลหลักที่ต้องทำอย่างนี้ ก็เพราะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตามข้อมูลของสหประชาชาติ พบว่า ภายในปี 2050 ประชากรโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันอีก 2 พันล้านคน โดยประเด็นที่น่าสนใจ อยู่ที่ว่า ประชากรเหล่านี้จะบริโภคอาหารโดยไม่ทำลายระบบนิเวศของเราได้อย่างไร และด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้เราสามารถผลิตเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ โกโก้ และกาแฟได้ในอนาคต โดยใช้น้ำ ดิน พลังงาน และการปล่อยก๊าซ CO2 น้อยลงมาก อีกทั้งการผลิตยังเร็วขึ้น และยึดโยงกับสถานที่ และสภาพภูมิอากาศน้อยลง ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีอาหารในยุโรปกำลังแสวงหาแนวทางสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่แตกต่างกันออกไป โดยทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาเพื่อสร้างความยั่งยืนในการผลิตอาหารนั่นเอง

 

บริษัท Formo จากกรุงเบอร์ลินกำลังค้นคว้าด้าน “ชีสที่ยั่งยืน” โดยนาย Raffael Wohlgensinger ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ เปิดเผยว่า “แทนที่จะเลี้ยงวัว เราเลี้ยงยีสต์ ซึ่งให้โปรตีนจากนมแท้แก่เรา” โดยเราจะจัดลำดับยีนจากวัวนำมาแทรกเข้าไปในเซลล์ยีสต์ที่ผลิตโปรตีนนม ในส่วนบริษัท Bluu Seafood จากเมืองฮัมบูร์กก็กำลังเพาะเลี้ยงเซลล์ปลาจากปลาเทราต์ และปลาแซลมอนในหม้อปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ในขณะที่ โรงกลั่นโปรตีนที่ตั้งอยู่ในโรงงาน Knorr ในเมือง Heilbronn ก็ผลิตโปรตีนจากยีสต์เบียร์ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นเบียร์ ผงโปรตีนดังกล่าวสามารถนำไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ ไข่ และชีสได้ ในขณะที่ บริษัทสตาร์ทอัพจากฟินแลนด์อย่างเช่น บริษัท Solar Foods ได้ใช้คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศในการผลิตผงโปรตีนสำหรับอาหาร และบริษัท Food Brewer จากสวิตเซอร์แลนด์ก็ปลูกเซลล์โกโก้ในหม้อปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) แทนที่จะปลูกบนดินหรือจากต้น นาง Barbara Siegert ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมฯ จากสถาบันนวัตกรรมและกระบวนการเปลี่ยนแปลง (IICM – Institut für Innovation und Change Methodik) กล่าวว่า “ยุโรปได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีอาหาร” โดยสิ่งนี้ได้รับการยืนยันจาก Good Food Institute (GFI) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยที่มุ่งมั่นในการขยายขอบเขตการใช้งานโปรตีนทางเลือก

 

ปัจจุบันมี 812 บริษัท ในยุโรปที่กำลังพัฒนาโปรตีนดังกล่าว ไม่ว่าจะผ่านการเพาะเลี้ยงเซลล์ การหมัก หรือสารทดแทนจากพืช โดยกว่า 145 บริษัท ตั้งอยู่ในเยอรมนีและยื่นขอสิทธิบัตรจากบริษัทและสถาบันวิจัยสาธารณะในยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 124 สิทธิบัตร ในปี 2015 เป็น 1,191 สิทธิบัตร ในปี 2024 อย่างไรก็ตาม นาย Ivo Rzegotta จาก GFI ออกมายอมรับว่า “ในอดีตยุโรปดิ้นรนอย่างมากเพื่อนำความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิผล สาเหตุก็คือ เทคโนโลยีอาหารที่ล้ำสมัย และสร้างสรรค์ที่สุดยังไม่ได้รับการอนุมัติในสหภาพยุโรป (EU) แม้ว่าเนื้อสัตว์ที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลองจะได้รับการพัฒนาครั้งแรกโดยบริษัท Mosa Meat ในยุโรป แต่เนื้อไก่เพาะเลี้ยงในห้องทดลองจากบริษัทเทคโนโลยีอาหารของอเมริกาอย่างบริษัท Eat Just (Good Meat) กลับได้รับอนุญาตให้ใช้งานเป็นครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อปี 2020 หลังจากนั้นในปี 2023 สหรัฐฯ ก็ได้ออกใบอนุญาตให้กับบริษัท Good Meat และ Upside Foods ต่อมาในปี 2024 เนื้อวัวจากห้องทดลองก็ได้รับการอนุญาตให้จำหน่ายได้เป็นครั้งแรกในอิสราเอลโดยบริษัท Aleph Farms ปัจจุบันยังไม่มีการอนุมัติให้เนื้อสัตว์ที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลองเป็นอาหารรูปแบบใหม่ (Novel Food) ที่สามารถจำหน่ายในสหภาพยุโรปได้ การยื่นคำร้องต่อสำนักงานความปลอดภัยทางอาหารแห่งยุโรป (EFSA) ถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ใช้เวลานาน และไม่รู้ว่าจะนานขนาดไหน โดย Mosa Meat ได้ยื่นคำร้องต่อ EFSA เมื่อช่วงปลายปี ซึ่งในเบื้องต้นเป็นคำร้องเพื่อใช้งานไขมันวัวที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลอง บริษัท Gourmey บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศสซึ่งเพาะเลี้ยงตับเป็ดจากเซลล์เป็นรายแรกในสหภาพยุโรปที่ยื่นคำร้องดังกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัท Cultivated B ผู้ผลิตเนื้อสัตว์จากเซลล์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ In Family Foods ผู้ผลิตไส้กรอกสัญชาติเยอรมันเองก็กำลังอยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้นกับ EFSA นอกจากนี้เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยเซลล์ยังต้องเผชิญกับการต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2023 อิตาลีได้ห้ามการผลิตและจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยเซลล์ ซึ่งต่อมาฮังการีก็ทำตาม ในปี 2024 อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า กฎหมายดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้ได้ เนื่องจากสร้างอุปสรรคทางการค้าให้กับการค้าที่เป็นตลาดเดียว (Single Market) ใน EU รัฐบาลออสเตรียชุดใหม่ได้ออกมาคัดค้านเรื่องดังกล่าว โดยระบุไว้ใน MOU สัญญาเพื่อการจัดตั้งรัฐบาลอีกด้วย สำหรับสหรัฐอเมริกา ในรัฐฟลอริดา อลาบามา และอินเดียนา ได้ออกกฎหมายห้ามเนื้อสัตว์ที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลอง โดย GFI มองว่าสถานการณ์นี้ “น่ากังวล” บริษัท Upside ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเรียบร้อยแล้ว

 

ไม่ใช่เฉพาะเนื้อสัตว์ แม้แต่โกโก้ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเซลล์จะต้องได้รับการอนุมัติผ่าน Novel Food ด้วย นาย Christian Schaub ผู้ก่อตั้งบริษัท Food Brewer อธิบายว่า “เราเพาะเลี้ยงเซลล์โกโก้โดยไม่ใช้ต้นโกโก้ในหม้อเหล็ก ซึ่งนี่คือโกโก้แท้ เพียงแต่ไม่มีต้นโกโก้เทานั้น” โดยสตาร์ทอัพสัญชาติสวิสรายนี้วางแผนที่จะยื่นขออนุมัติในสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวในสหรัฐอเมริกาเร็วกว่าใน EU บริษัท Formo ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลินได้นำลำดับพันธุกรรมจากวัวนมมาผสมกับยีสต์เพื่อผลิตโปรตีนนมที่มีลักษณะเหมือนนมวัวธรรมชาติ วิธีการนี้เรียกว่า การหมักแบบแม่นยำ และต้องได้รับการอนุมัติผ่านกระบวนการ Novel Food ด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัท Formo กำลังอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติในสหรัฐอเมริกา และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำตลาดในยุโรปบริษัท Formo จึงได้จำหน่ายครีมชีสและชีสคาเมมเบิร์ต (Camembert) ที่ทำจากโปรตีนจากเชื้อราโคจิ ในร้านค้าปลีกต่าง ๆ เช่น Rewe และ Metro แล้ว ข้อดีของวิธีการผลิตแบบนี้ ก็คือ เนื่องจากเชื้อราโคจิถูกนำมาใช้ในการผลิตซอสถั่วเหลืองมานานแล้วจึงไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจาก EU บริษัท Nosh Bio เองก็ยังใช้เห็ดโคจิด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัท Nosh Bio ที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลินใช้ Mycelium (ไมซีเลียม) หรือเส้นใยจากเห็ดราทั้งหมดเป็นสารทดแทนเนื้อสัตว์ในกระบวนการที่เรียกว่า การหมักชีวมวล โดยไมซีเลียมจะพร้อมเก็บเกี่ยวได้ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การเลี้ยงสุกรใช้เวลาหกเดือนจึงจะถึงวัยเจริญพันธุ์จนสามารถชำแหละได้ ส่วนถั่วเหลืองสำหรับทำเต้าหู้จะต้องเติบโตในเวลา 140 วัน ในการเพราะปลูกเช่นกัน นาย Tim Fronzek ผู้ก่อตั้งบริษัท Nosh กล่าวว่า “ไมซีเลียมของเห็ดโคจิที่มีโปรตีนสูงไม่ต้องการสารยึดเกาะหรือสารเติมแต่งใด ๆ” นาง Siegert ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมฯประเมินการหมักชีวมวลว่า “ในแง่ของรสชาติ เนื้อสัมผัส และความยั่งยืน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืชล้วน ๆ มาก” บริษัท Infinite Roots ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเบอร์ลินเองก็กำลังพัฒนาโปรตีนจากไมซีเลียมเห็ดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทใช้เห็ดที่รับประทานประเภทหนึ่งได้ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากสหภาพยุโรปก่อน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณามานานกว่าสองปีแล้ว ในประเทศเกาหลีใต้บริษัท Infinite Roots เริ่มจำหน่ายลูกชิ้นที่ทำจากไมซีเลียมเห็ดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพโปรตีนทางเลือกในยุโรปยังคงเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไปเนื่องจากขาดกำลังในการปรับขนาดการผลิต GFI บ่นว่า เนื่องจากขาดการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ปัจจุบันจึงยังไม่มีโรงงานผลิตที่ใหญ่โตในยุโรป จนถึงปัจจุบัน บริษัทสตาร์ทอัพโปรตีนทางเลือกในยุโรปสามารถระดมทุนสำหรับพัฒนาการผลิตโปรตีนทางเลือกได้ 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ปีที่แล้วตัวเลขเงินระดมทุนรวมกันได้ 509 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามข้อมูลของ GFI ปี 2024 เป็นปีแรกที่บริษัทต่าง ๆ ในยุโรปสามารถดึงดูดการลงทุนได้มากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ตามข้อมูลของ Rzegotta บริษัทสตาร์ทอัพด้านโปรตีนในยุโรปสามารถพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ “เงินทุน Venture capital (VC) ได้รับกำลังเสริมจากกลุ่มนักลงทุนเชิงกลยุทธ์[1] ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ค้าปลีก Rewe ได้ลงทุนกับบริษัท Formo และบริษัท Infinite Roots เป็นต้น ผู้ผลิตสัตว์ปีก PHW (Wiesenhof) เป็นตัวอย่างที่ถือหุ้นในบริษัท Mosa Meat และบริษัท Kynda จากภูมิภาค Lüneburger Heide ซึ่งเป็นบริษัทเพาะพันธุ์ไมซีเลียมเห็ด บริษัทผู้ผลิตเนื้อสัตว์ Tönnies ลงทุนผ่านบริษัทในเครือ Zur Mühlen (Gutfried) กับบริษัท Nosh เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน นาย Fronzek ซีอีโอของ Nosh เชื่อมั่นว่า “หากคุณต้องการทำให้โลกยั่งยืนมากขึ้นด้วยนวัตกรรมของคุณอย่างแท้จริง คุณต้องดึงผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย” บริษัท Food Brewer ผู้เพราะเลี้ยงโกโก้จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนี้เช่นกันโดยสามารถดึงบริษัท Lindt ผู้ผลิตช็อกโกแลตยักษ์ใหญ่เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนไปหมาด ๆ

 

จาก Handelsblatt 23 มิถุนายน 2568

[1] นักลงทุนเชิงกลยุทธ์คือบริษัทที่ลงทุนในบริษัทอื่นเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ที่มากกว่าผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว

thThai