เหตุการณ์ “ฮัลค์ถล่มร้านสะดวกซื้อ” ในปี 2566 ซึ่งชายชาวไต้หวันรูปร่างกำยำคนหนึ่งมีอาการโมโหเพราะหาอกไก่พริกไทยดำสไตล์อิตาเลียนไม่ได้ จนถึงขั้นทำร้ายพนักงานในร้านสะดวกซื้อ กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ในไต้หวันอย่างไม่คาดคิด และทำให้ผู้คนหันมาสนใจอกไก่สำเร็จรูปสุดฮิตนี้ พร้อมส่งผลให้คำว่า “อกไก่” กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต อีกทั้งยังทำให้หลายคนอยากรู้ว่า “อกไก่นี้มีดีอะไร?” ก่อนที่จะพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทซีพีไต้หวัน ทำให้บริษัทซีพีของไทยที่มาลงทุนในไต้หวันแห่งนี้ มีชื่อเสียงมากขึ้นในหมู่ชาวเน็ตของไต้หวัน โดยมีสถิติน่าทึ่งว่า ชาวไต้หวันทุก 5 คนจะมี 1 คนเคยลิ้มลองผลิตภัณฑ์ของซีพี!
บริษัทซีพีไต้หวันก่อตั้งขึ้นในปี 2520 โดยในขณะนั้นอาหารสัตว์ยังอยู่ในรูปของผงละเอียด ซีพีเป็นรายแรกที่ริเริ่มผลิตอาหารสัตว์แบบเม็ด (pellet) ทำให้ไก่กินง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซีพีไต้หวันประสบความสำเร็จในตลาดไต้หวันจนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวันได้ในปี 2529 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ซีพีไต้หวันสามารถผลิตไก่เนื้อขาวได้ถึง 160,000 ตัวต่อวัน คิดเป็น 17.14% ของตลาดทั้งหมด โดยมีกระบวนการผลิตที่ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ พันธุ์ไก่ การฆ่า ไปจนถึงแปรรูปอาหาร ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง ลดต้นทุน และเกษตรกรก็สามารถขายสัตว์ให้ทางบริษัทฯ โดยตรง โดยมีนโยบายของบริษัทฯ คือ ‘ตลาดต้องการอะไร เราก็ทำสิ่งนั้น’ จึงทำให้ซีพีสามารถครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในไต้หวันเอาไว้ได้ ล่าสุด เพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับกระแสแห่งเทคโนโลยี AI ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซีพีไต้หวันได้สร้าง โรงงานอาหารสัตว์ AI แห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโต่วลิ่ว เมืองหยุนหลินด้วยเงินลงทุนมากกว่า 1,400 ล้านบาท โดยโรงงานแห่งนี้ใช้ระบบ AI มาช่วยในแทบจะทุกขั้นตอน ตั้งแต่ในส่วนของ ระบบผสมวัตถุดิบ, การผลิต, บรรจุภัณฑ์ การตรวจสอบคุณภาพ และคลังสินค้าอัจฉริยะ โดยผู้บริหารของซีพีไต้หวันชี้ว่า AI ไม่ใช่แค่เรื่องของวงการไอที แต่คือเครื่องมือของคน ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น การระบายอากาศในโรงเรือนผ่านสมาร์ทโฟนได้เลย และยังเห็นข้อมูลด้วยว่าไก่ในฟาร์มกินอาหารมากน้อยแค่ไหน ได้รับสารอาหารเพียงพอไหม ซึ่งแม้จะต้องลงทุนสูง แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า เพราะโรงงาน AI แห่งนี้สามารถลดจำนวนพนักงานได้ถึง 50% และยังช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยในระยะยาว เช่น ลดค่าไฟ ค่าแรง และลดอัตราการตายของสัตว์ ถือเป็นการใช้แนวคิดในแบบ Total Cost เป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่า
ในปี 2567 มูลค่าตลาดสินค้าเนื้อสัตว์แปรรูปของไต้หวัน มีมูลค่า 2,255 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.0% จากปีก่อนหน้า โดยผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ได้แก่ บ. ซีพี ไต้หวัน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาด 12.7% (ข้อมูลจาก Euromonitor International) ในขณะที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นรายอื่นที่มีบทบาทสำคัญ เช่น Black Bridge, Hsin Tung Yang และ Uni-President โดยปัจจุบัน ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคไต้หวันในแบบรักสุขภาพกำลังกลายเป็นกระแสหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และผู้ที่ใส่ใจอาหารแบบ Clean Eating ส่งผลให้สินค้าที่เน้น “โปรตีนสูง ไขมันต่ำ” เนื้อไก่จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาด
ที่มา: Economic Daily News, Yahoo! Stock (10 June 2025)
ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของ สคต.
ปัจจุบัน ไทยยังไม่สามารถส่งออกเนื้อไก่แปรรูปเข้าไต้หวันได้โดยตรง ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุกระป๋องหรือ Retort Pouch เนื่องจากติดปัญหาด้านการตรวจกักกันโรคสัตว์ โดยกรมปศุสัตว์ไทยอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อขอให้ไต้หวันเปิดตลาดเนื้อไก่แปรรูปให้กับสินค้าไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับสำนักงานตรวจสอบสุขอนามัยพืชและสัตว์ของไต้หวัน (APHIA) แล้ว ขณะนี้ฝ่ายไต้หวันกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพื่อพิจารณาเปิดตลาดต่อไป นอกจากนี้ ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อเทียม เช่น ไก่เจ เข้าสู่ตลาดไต้หวัน โดยไต้หวันมีประชากรที่รับประทานมังสวิรัติ (เจ) สูงถึงประมาณ 13–15% ของประชากรทั้งหมด (23 ล้านคน) และยังมีคนที่ “ทานเจบางเวลา” อีกเป็นจำนวนมาก จึงถือเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อย โดยแพลตฟอร์มทั้งโมเดิร์นเทรดและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างก็มีสินค้าเจวางจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ หากสามารถปรับสูตร/รสชาติให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น เช่น ไก่เจย่างงา ไก่เจอบพริกไทยดำ หรือ ไก่เจทอดหม่าล่า รวมถึงมีแบบรสชาติไทย เช่น ข้าวกะเพราะไก่เจ หรือผัดไทยไก่เจ เป็นต้น ก็จะตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ในไต้หวันและยังเป็นการเปิดประตูสู่ภาพลักษณ์ของอาหารไทยแนวใหม่ที่ “สะอาด ฉลาดบริโภค และยั่งยืน”