ญี่ปุ่นซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะ ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างชัดเจน จากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้สภาพอากาศร้อนทวีความรุนแรงขึ้น โดยอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นทุกปี และจำนวนวันที่อากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ ≥ 35°C) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงศตวรรษ 90 เป็นต้นมา และความถี่ในการเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น

รายงาน “Climate Change in Japan 2025” แสดงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงปริมาณฝน อุณหภูมิพื้นดิน และพื้นน้ำ โดยหน่วยงานอุตุนิยมญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า อุณหภูมิพื้นดินเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น 4.5 องศาเซลเซียสในช่วงท้ายของศตวรรษ หากไม่มีการดำเนินการตามมาตรการลดวิกฤติโลกร้อน    อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ช่วงศตวรรษที่ผ่านมา อุณหภูมิในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 1.4 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำ (Dissolved oxygen : DO) ในทะเล โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ชี้ให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งหากไม่เร่งแก้ไขและทำการรับมืออย่างเหมาะสมทันท่วงที รวมถึงการดำเนินมาตรการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่มุ่งจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม จะทำให้ญี่ปุ่นประสบกับวิกฤติโลกร้อนที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยอุณหภูมิพื้นดินอาจสูงขึ้นกว่า 4.5 องศาเซลเซียส และจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดจะมากถึง 17.5 วัน ขณะที่ฤดูหนาวจะลดลง 46.2 วัน ภายในปี ค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2642) นอกจากนี้ แม้จำนวนวันที่ฝนตกจะน้อยลง หากแต่ความถี่ในการเกิดฝนตกหนักจะเพิ่มขึ้น โดยหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส จำนวนวันที่ฝนตกในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิเมตรจะเพิ่มขึ้นถึง 1.4 เท่า

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศดังกล่าว ส่งผลต่อทุกภาคส่วน รวมถึงสุขภาพ โดยเฉพาะภาวะ Heatstroke (โรคลมแดด) ซึ่งในเดือนมิถุนายนที่เข้าช่วงต้นสู่ฤดูร้อน Meteorological Agency (JMA) และกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นได้ประกาศแจ้งเตือน “Heatstroke alert” ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว โดยพื้นที่ 22 แห่ง อุณหภูมิสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส และ 417 แห่ง สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ในช่วง 17.00 น.

thThai