ภายหลังจากที่แคนาดารับหน้าที่เป็นประธานการประชุมสุดยอดกลุ่มผู้นำ G7 ในปีนี้ ซึ่งได้ดำเนินการจัดสำเร็จไปด้วยดีระหว่างวันที่ 16-17 มิถุนายน 2568 ที่เมืองคานานัสกิส (Kananaskis) รัฐอัลเบอร์ตา โดยมีนายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ของแคนาดาได้ทำการต้อนรับผู้นำจากอิตาลี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นเวทีทดสอบความสามารถของนายคาร์นีย์เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญๆ ได้แก่ การก้าวเป็นผู้นำในเวทีโลก การเป็นชาติเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม G7 และการลดการพึ่งพากับสหรัฐฯ

 

สำหรับประเด็นการประชุมสุดยอดกลุ่ม G7 เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ แต่จะมีประเด็นหลักๆ 3 ประเด็น คือ (1) ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน (2) สงครามรัสเซีย-ยูเครน และ (3) ภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งผู้นำโลกที่เข้าร่วมการประชุมต้องการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ พิจารณายกเลิกนโยบายภาษีศุลกากรต่างๆ เนื่องจากเกรงว่า นโยบายดังกล่าวอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

 

ด้านฝ่ายแคนาดาซึ่งกำลังมีความกังวลกับปัญหาการค้าอยู่ ถูกจับตามองว่า จะสามารถรับมือและหาข้อตกลงครั้งใหม่เพื่อส่งเสริมการค้าแคนาดากับผู้นำสหรัฐฯ ได้มากน้อยเพียงใด เพราะแคนาดากำลังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางสูงขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจแคนาดามีความไม่แน่นอนอย่างมาก จากอุปสรรคสงครามการค้าตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเมื่อต้นปี 2568

การประชุมสุดยอดกลุ่มผู้นำ G7
ประธานาธิบดีทรัมป์กับนายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ของสหราชอาณาจักร และผู้นำอื่นๆระว่างการประชุม G7 Summit ณ เมื่อง Kananaski แคนาดา (Credit…Kenny Holston/The New York Times)

ซึ่งจากแถลงการณ์ของรัฐบาลแคนาดารายงานว่า นายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้พบและหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศมีเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าภายใหม่ใน 30 วันข้างหน้า แม้ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม แต่ทั้งคู่แสดงความตั้งใจที่จะหาจุดร่วมเพื่อบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ และส่วนหนึ่งจากกการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางออกจากการประชุมสุดยอด G7 ก่อนกำหนด หลังจากเข้าประชุมได้เพียง 1 วัน ท่ามกลางความผิดหวังของผู้นำชาติต่างๆ ที่หวังจะหารือเรื่องนโยบายการค้ากับสหรัฐฯ

 

จากผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกของแคนาดาลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ซึ่งธนาคารกลางแคนาดาได้ออกมาเตือนว่า หากภาษียังคงอยู่ต่อไป อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค และจะสร้างความเดือดร้อนต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชนในวงกว้าง จนอาจเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession ได้

 

ความเห็นสคต. ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ในปี 2568 อยู่ในช่วงวิกฤต โดยมีการใช้มาตรการภาษีและการตอบโต้ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการเจรจาข้อตกลงใหม่ภายใน 30 วันข้างหน้าอาจเป็นโอกาสในการฟื้นฟูความสัมพันธ์และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ซึ่งทรัมป์ดูเหมือนจะให้ความเคารพแคนาดามากขึ้นนับตั้งแต่มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลาง เข้ารับตำแหน่งต่อจากจัสติน ทรูโด เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เพื่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการธุรกิจในแคนาดา จึงมีความพยายามปรับกลุทธ์เพื่อกระจายตลาดหาคู่ค้าเป้าหมายไปสู่ทวีปเอเชียให้มากขึ้น เพื่อสร้างความยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์การค้าระหว่างแคนาดา-สหรัฐฯ ที่คงความไม่แน่นอน

 


โดย…สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแวนคูเวอร์

 

thThai