ในยุคที่ผู้บริโภคมิได้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเพียงจากรสชาติ คุณภาพ หรือราคาอีกต่อไป แต่ยังคำนึงถึง “ความหมาย” และ “จุดยืน” ที่แบรนด์สะท้อนออกมา การสร้างแบรนด์ในปัจจุบันจึงมิใช่เพียงการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด หากแต่ต้องสามารถสร้างความเชื่อมโยงในระดับคุณค่าร่วมระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

 

Queer Beer จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นับเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนพลังของแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน และเป็นกรณีศึกษาที่ควรค่าแก่การเรียนรู้สำหรับผู้ประกอบการไทยในยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดสากล

 

Queer Beer ก่อตั้งโดย Sebastiaan Zoet นักธุรกิจชาวดัตช์ ผู้มีวิสัยทัศน์ในการสร้างแบรนด์เบียร์ที่ไม่เพียงแต่เน้นคุณภาพ หากยังมุ่งเน้นให้เกิดเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการยอมรับในสังคม โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนชุมชน LGBTQIA+ อย่างจริงจัง ทั้งในเชิงการสื่อสารและในเชิงโครงสร้าง ผ่านการจัดสรรรายได้บางส่วนจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ LGBT Asylum Support ซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเพศหลากหลายในยุโรป ความชัดเจนในจุดยืนดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์การตลาด หากแต่กลายเป็นหัวใจของแบรนด์ที่ผู้บริโภคสามารถสัมผัสและเลือกสนับสนุนได้อย่างภาคภูมิใจ

 

ภายใต้แนวคิดแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า (Purpose-Driven Branding) Queer Beer ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ LesBier ซึ่งถือเป็นการขยายพรมแดนของแบรนด์ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้หญิงในชุมชน LGBTQIA+ โดยเฉพาะกลุ่มเลสเบี้ยนและเพศทางเลือกหญิง LesBier มีความโดดเด่นทั้งในเชิงรสชาติและคุณค่าทางสังคม โดยเป็นเบียร์ประเภท Honey Citrus Blond ที่มีรสชาติสดชื่น ดื่มง่าย ผสมผสานกลิ่นหอมของผลไม้ตระกูลส้มเข้ากับความหวานละมุนของน้ำผึ้ง และมีปริมาณแอลกอฮอล์ 4.5% ที่สำคัญ รสชาติของ LesBier ได้รับการคัดเลือกผ่านแคมเปญ BierTinder ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยสามารถปัดเลือกรสชาติที่ตนชื่นชอบ เสียงตอบรับจากแฟนเบียร์หลายร้อยคน โดยเฉพาะเสียงของผู้หญิง ได้กลายเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาเบียร์รุ่นนี้ นอกจากนี้ LesBier ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงในกลุ่มเพศทางเลือก ผ่านการบริจาคเงิน 0.10 ยูโรจากทุกกระป๋องที่จำหน่ายให้แก่องค์กร Hivos ซึ่งทำงานเพื่อการส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงรักร่วมเพศ Bisexual และกลุ่มคนรักร่วมเพศทั่วโลกอีกด้วย

 

ผลิตภัณฑ์รุ่นแรกของแบรนด์ Queer Beer อย่าง Spicy Mango ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนแนวทางการสร้างสรรค์เบียร์ที่มีเอกลักษณ์ โดยเป็นเบียร์ขาว (White Beer) ที่ผสมผสานความหวานของมะม่วงเข้ากับความเผ็ดนุ่มของพริกเสฉวน ให้รสชาติสดชื่นและจัดจ้านด้วยแอลกอฮอล์ 5.3% ผลิตภัณฑ์เบียร์ทั้งสองนี้ต่างออกแบบมาเพื่อสื่อสารความกล้า ความแหวกแนว และการยอมรับในความหลากหลายทางอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่แบรนด์ยึดถือมาโดยตลอด

 

นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์แล้ว Queer Beer และ LesBier ยังมีกิจกรรมทางสังคมที่สอดคล้องกับจุดยืนของแบรนด์ อาทิ การจัดกิจกรรม Pub Quiz ร่วมกับบาร์ LGBTQ+ ในอัมสเตอร์ดัม การสร้างแคมเปญรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า (Value-Driven) และความตระหนักรู้ทางสังคม (Social Consciousness) อย่างแท้จริง

 

จากมุมมองทางการตลาด ความสำเร็จของ Queer Beer และ LesBier เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า “การมีจุดยืน” อย่างจริงจังและชัดเจน สามารถสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ โดยเฉพาะเมื่อตลาดนั้นเปิดรับและให้ความสำคัญกับคุณค่าทางสังคมเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุโรป มิได้เลือกซื้อสินค้าจากแค่คุณภาพ ราคา หรือโปรโมชั่น หากแต่เลือกแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนและค่านิยมได้ในระดับจิตวิญญาณ แบรนด์ที่ทำได้เช่นนี้จะสามารถสร้างความจงรักภักดี (Brand Loyalty) และความไว้วางใจในระยะยาวได้มากกว่าแบรนด์ที่ไม่มีทิศทางหรือจุดยืนที่ชัดเจน

 

บทวิเคราะห์และความเห็น สคต.

 

Queer Beer และ LesBier นับเป็นหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทรงพลังสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าสู่ตลาดยุโรป หรือสร้างแบรนด์ระดับสากลในอนาคต แม้สินค้าไทยจำนวนมากจะมีคุณภาพดีและมีอัตลักษณ์ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในบริบทของการทำการตลาดระหว่างประเทศ คุณภาพเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ การเพิ่มคุณค่าเชิงความหมายให้กับแบรนด์ผ่านเรื่องราว (Brand Storytelling) และจุดยืนที่ตอบรับกับกระแสโลก อาทิ ความยั่งยืน ความเท่าเทียม หรือการพัฒนาอย่างครอบคลุม สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์และเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

ผู้ประกอบการไทยสามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเช่น การสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยที่สื่อสารว่าเป็นผลผลิตจากเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) การสร้างแบรนด์ชาออร์แกนิกที่สนับสนุนแรงงานเพศหลากหลายในกระบวนการผลิต หรือการผลิตสินค้าขนมขบเคี้ยวไทยที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติหรือออร์แกนิก ปลอดจากสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างคุณค่าแก่แบรนด์ แต่ยังตอบสนองแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคอย่างมีจริยธรรม (Ethical Consumption)

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเฮก

thThai