ความตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายทางทหารและโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอย่างรุนแรง นักลงทุนกังวลว่าความขัดแย้งนี้อาจ ลุกลามและกระทบต่อเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซสำคัญของโลก โดยเฉพาะช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีน้ำมันโลก เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันประมาณ 21 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 21% ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก
ปฏิกิริยาตลาดโลกต่อการโจมตี
ทันทีที่มีข่าวการโจมตี ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นกว่า 13% โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ทะยาน แตะระดับ 75.15 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงสุดในรอบ 5 เดือน ก่อนจะปรับตัวลดลงในวันจันทร์ ขณะนี้ราคาน้ำมันยังทรงตัว เพราะการผลิตและส่งออกน้ำมันในภูมิภาคยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง และยังไม่มีสัญญาณว่าช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญ (คิดเป็น 20% ของน้ำมันโลก) จะถูกปิดกั้น
นาย Harry Tchilinguirian หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Onyx Capital Group กล่าวว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าความขัดแย้งจะลุกลามไปกระทบการขนส่งพลังงานหรือไม่ ขณะนี้กำลังการผลิตและส่งออกน้ำมันยังไม่ได้รับผลกระทบ และยังไม่มีความพยายามจากอิหร่านในการปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ”
นักลงทุนได้เทขายหุ้นและโยกเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ดัชนีหุ้นในเอเชียและยุโรปลดลงถ้วนหน้า โดย DAX ของเยอรมนีร่วงแรงที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสันทนาการ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศปรับตัวขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
ตลาดหุ้นในตะวันออกกลางเองก็ได้รับแรงกดดันหนัก เช่น ดัชนีหุ้นดูไบร่วงลงทันที 5.1% ถือเป็นการร่วงแรงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่หุ้นสายการบิน Air Arabia ลดลงกว่า 4% เนื่องจากต้องเลี่ยงน่านฟ้าบริเวณอิสราเอล อิหร่าน อิรัก และจอร์แดน ส่งผลให้มีการยกเลิกและเปลี่ยนเส้นทางบินจำนวนมาก
ผลกระทบทางเศรษฐกิจทันที
นอกจากราคาน้ำมันและตลาดหุ้นที่ผันผวนแล้ว อิสราเอลและอิหร่านประกาศปิดน่านฟ้า รวมถึงอิรักและจอร์แดน สายการบินหลายสายหยุดบินไปยังประเทศดังกล่าว หรือเปลี่ยนเส้นทางผ่านตะวันออกกลาง เนื่องจากความหวาดกลัวว่าความขัดแย้งอาจนำไปสู่การโจมตีเครื่องบิน ซึ่งการเปลี่ยนเส้นทางเที่ยวบินจะมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเพิ่มระยะเวลาในการเดินทางและใช้น้ำมันมากขึ้น นอกจากนี้ ความหวาดกลัวว่าของการตอบโต้จากอิหร่าน ทำให้สายการบินของอิสราเอลต้องย้ายเครื่องบินไปยังต่างประเทศ เช่น ไซปรัสและยุโรป
สกุลเงินเชคเกิล (Shekel) ของอิสราเอลอ่อนค่าลงเกือบ 2% พร้อมกับภาวะตื่นตระหนกซื้อสินค้ากักตุนในประเทศ สื่อในอิสราเอลรายงานว่าประชาชนแห่ซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งเพิ่มขึ้นถึง 300%
จับตาช่องแคบฮอร์มุซ
อิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ใน OPEC และยังคงส่งออกน้ำมันจำนวนมากไปจีนและอินเดีย แม้จะถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ขณะที่ช่องแคบฮอร์มุซยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการขนส่งน้ำมันโลก หากความขัดแย้งจะนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมันและเชื้อเพลิงประมาณ 18-19 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือราว 1 ใน 5 ของการบริโภคน้ำมันโลกผ่านช่องแคบนี้ ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนอิหร่านซึ่งเป็นสมาชิก OPEC ผลิตน้ำมันประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่กำลังการผลิตสำรองของกลุ่ม OPEC+ มีปริมาณใกล้เคียงกับการผลิตของอิหร่าน
นาย Richard Joswick จาก S&P Global Commodity Insights ระบุว่า หากการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านถูกขัดขวาง โรงกลั่นของจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อหลักจะต้องหาน้ำมันจากประเทศอื่นในตะวันออกกลางหรือรัสเซียแทน ซึ่งจะทำให้ค่าระวางเรือและประกันภัยเรือบรรทุกน้ำมันสูงขึ้น ช่องว่างราคาน้ำมัน Brent-Dubai แคบลง และอาจกระทบกำไรโรงกลั่น โดยเฉพาะในเอเชีย
ข้อมูลทางการจีนระบุว่า การกลั่นน้ำมันดิบของจีนในเดือนพฤษภาคมลดลง 1.8% จากปีก่อนหน้า ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เนื่องจากโรงกลั่นทั้งของรัฐและเอกชนปิดซ่อมบำรุง
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า หวังว่าอิสราเอลและอิหร่านจะสามารถเจรจาหยุดยิงได้ แต่บางครั้งประเทศต่างๆ ก็ต้อง “สู้กันก่อน” โดยสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนอิสราเอลต่อไป แต่ปฏิเสธที่จะตอบว่าขอให้อิสราเอลชะลอการโจมตีอิหร่านหรือไม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีเยอรมนี นาย Friedrich Merz หวังว่าการประชุม G7 ที่แคนาดาจะหาข้อตกลงแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม
ขณะที่เจ้าหน้าที่อิหร่านแจ้งกับประเทศที่เป็นกลางในความขัดแย้ง (Mediators) เช่น กาตาร์และโอมานว่าอิหร่านยังไม่พร้อมเจรจาหยุดยิงในขณะที่ยังถูกอิสราเอลโจมตี
ผลกระทบระยะยาวและความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและการค้าโลกทวีความรุนแรงขึ้นจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและอาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หากราคาน้ำมันยังคงสูงต่อเนื่องและความขัดแย้งยืดเยื้อ ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก ขณะที่การหยุดชะงักของเส้นทางเดินเรือและการส่งออกก๊าซธรรมชาติจะกดดันตลาดพลังงานยุโรปและเอเชียอย่างหนัก
มีการหยุดชะงักของการส่งออกก๊าซ รวมถึงแหล่งก๊าซ Tamar ของอิสราเอล และการส่งออกก๊าซธรรมชาติกลั่นใน GCC ก็จะเพิ่มแรงกดดันต่อราคาในตลาดพลังงานยุโรปและเอเชีย
เศรษฐกิจอิสราเอลก็อยู่ในภาวะกดดันจากความขัดแย้งในกาซาอยู่แล้ว และสงครามกับอิหร่านอาจทำให้ต้นทุนพุ่งสูงถึง 120 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 20% ของ GDP ตามการประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์อิสราเอล
อิหร่านยังคงเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจจากการคว่ำบาตรของนานาชาติในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งจำกัดการส่งออกน้ำมันของตน ค่าเงิน Rial อ่อนค่าต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อสูงประมาณ 40% หากการหยุดชะงักด้านการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
ผลกระทบต่อการนำเข้าจากไทย
ในช่วงความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน การนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังกลุ่ม GCC เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากเส้นทางเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซและทะเลแดงอาจไม่ปลอดภัย ต้องเปลี่ยนเส้นทางอ้อมแอฟริกา ซึ่งใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่อาจใช้ทางเลือกการขนส่งใหม่ อาทิ ใช้ท่าเรือ Sohar ในโอมานเป็นเส้นทางสำรอง ขนส่งผ่านบกเข้าสู่อูเออี ลดความเสี่ยงจากความไม่ปลอดภัยในช่องแคบฮอร์มุซ
นอกจากนี้ การปิดน่านฟ้าของบางประเทศในภูมิภาคยังทำให้การส่งออกล่าช้า โดยเฉพาะสินค้าอาหารสด ผลไม้สด ที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง ราคาสินค้าในตลาด GCC ก็อาจปรับสูงขึ้นจากต้นทุนขนส่งและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้นำเข้าและผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนด้านการวางแผนธุรกิจ อาจทำให้ชะลอคำสั่งซื้อหรือเปิดตัวสินค้าใหม่จากไทยในระยะนี้
สรุป
การโจมตีระหว่างอิสราเอลและอิหร่านสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงิน ราคาน้ำมันพุ่งสูง นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ความเสี่ยงต่อเส้นทางขนส่งน้ำมันและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบทางการเงินจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอาจเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ขณะที่ การแลกเปลี่ยนการโจมตียังคงดำเนินต่อไปและความพยายามทางการทูตหยุดชะงัก นักลงทุนต้องเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลาแห่งความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้น ภัยคุกคามของอิหร่านที่จะโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส หากฐานทัพเหล่านี้เข้าไปแทรกแซง และเป้าหมายที่อิสราเอลประกาศไว้ในการป้องกันไม่ให้อิหร่านบรรลุศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ แสดงให้เห็นว่าวิกฤตอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น
ยูเออีและประเทศอ่าวอาหรับส่วนใหญ่ รวมถึง GCC มีจุดยืนชัดเจนในการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการ ใช้กำลัง หลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมัน และเน้นการใช้ช่องทางทูตเพื่อป้องกันความขัดแย้งลุกลาม ยูเออี มีบทบาทสำคัญในฐานะ “สะพานเชื่อม” ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้งสองฝ่าย การรักษาความเป็นกลางและผลักดันการเจรจา จะช่วยลดความเสี่ยงที่อิหร่านจะตอบโต้หรือปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก การเน้นบทบาททูตและการประสานงานกับนานาชาติของยูเออีจะช่วยรักษาเสถียรภาพของเส้นทางน้ำมันและลดความผันผวนของตลาดพลังงาน
————————————————————