เนื้อหาสาระข่าว และบทวิเคราะห์: ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศปรับขึ้นอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากเดิม 25% เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากทุกแหล่งนำเข้า (ยกเว้นสหราชอาณาจักรเนื่องจากไปบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ไปบางส่วนแล้วก่อนหน้านี้ทำให้ยังคงไว้ที่ 25%) ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียม ทั้งในสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าหลักทั้งหลาย ซึ่งในรายงานข่าวประจำสัปดาห์นี้จะมาอภิปรายถึงผลกระทบในภาพกว้างจากการประกาศปรับขึ้นอัตรากำแพงภาษีนำเข้าครั้งนี้ในหลากหลายมิติ ครอบคลุมทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
เป็นที่ทราบกันว่าการปรับขึ้นอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมครั้งนี้ เป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของประธานาธิบดีทรัมป์ (ตั้งแต่วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งก่อน) ในการตอบโต้ทางการค้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศจีน ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการอุดหนุนราคาต้นทุนสินค้า และทำให้สินค้าเหล็กอะลูมิเนียมของประเทศจีนล้นตลาดทั่วโลกรวมถึงตลาดสหรัฐฯ โดยในครั้งนี้สำนัก Bloomberg ได้ออกมาคาดการณ์ว่าผลกระทบในภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบายดังกล่าวจะทำให้ GDP ของสหรัฐฯหดตัวลง 0.15% และดัชนีราคาผู้บริโภคอาจเพิ่มขึ้น 0.1% ในขณะที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ต้นทุนสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมปรับตัวสูงขึ้น มาร์จิ้นของกำไรแคบลงสำหรับภาคอุตสาหกรรม และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็อาจทำให้เกิดการเลิกจ้างและการว่างงานเพิ่มขึ้นตามมา
เนื่องจากสหรัฐฯพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมจากต่างประเทศมากกว่า โดยจากข้อมูลในแผนภาพที่ 1 จะพบว่าสหรัฐฯนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมมากถึง 44% จากต่างประเทศ โดยปริมาณกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนนั้นนำเข้ามาจากประเทศแคนาดา ในขณะที่สหรัฐฯสามารถผลิตสินค้าเหล็กได้เองในประเทศมากกว่า ทำให้พึ่งพาการนำเข้าเพียงประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าตัวเลขการนำเข้าจะไม่มากเท่าไหร่นั้น แต่ในอุตสาหกรรมที่สำคัญหลายส่วนของสหรัฐฯ อาทิ อุตสาหกรรมอากาศยาน (Aerospace) อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้าเหล็กชนิดพิเศษ เช่น สินค้าเหล็กท่อ (Steel Tubes) และเหล็กแป๊บ (Steel Pipes) ซึ่งต้องมีคุณสมบัติทนทานต่ออุณหภูมิและความดันสูง ตลอดจนสินค้าเหล็กรีด (Rolled Steel) เหล่านี้นั้นสหรัฐฯนำเข้าจากต่างประเทศประมาณ 40% ของทั้งหมด
แผนภาพที่ 1
จากข้อมูลในข้างต้น การประกาศปรับขึ้นอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมครั้งนี้อาจทำให้ราคาสินค้าเหล็กปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลดีสำหรับบรรดาผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้าเหล็กในสหรัฐฯเอง และอาจกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการในปี 2018 ในสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ ในครั้งนั้นทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากมาย และราคาสินค้าเหล็กปรับตัวขึ้นประมาณ 2% และปริมาณการนำเข้าสินค้าเหล็กลดลงถึง 25% อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้ามนั้นในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้เหล็กและอะลูมิเนียมอาจเกิดภาวะการเลิกจ้างเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกัน อันเป็นผลมาจากราคาต้นทุนสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในปี 2018 เกิดการเลิกจ้างตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมภายหลังการประกาศปรับขึ้นอัตรากำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมถึง 75,000 ตำแหน่งมาแล้ว จนอาจตั้งคำถามได้ว่านี่คือการได้คุ้มเสียหรือไม่
สำหรับภาพรวมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเกี่ยวกับไฟฟ้า (Electrical industries) อาจได้รับผลกระทบหนักที่สุด ตลอดจนสินค้าอุตสาหกรรมอากาศยาน ที่ซึ่งเครื่องบินหนึ่งลำนั้นมีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบไปแล้วมากกว่า 80% เช่นเดียวกับน้ำอัดลม Coca-Cola หนึ่งกระป๋องซึ่งใช้เป็นบรรจุภัณฑ์หลัก และสินค้ารถยนต์ที่อัตราภาษีนำเข้าใหม่ครั้งนี้อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตถึง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ / คัน ก็อาจทำให้สินค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก
แผนภาพที่ 2
แผนภาพที่ 3
สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศคู่ค้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมรายสำคัญของสหรัฐฯ จากทั้งหมดคาดการณ์ว่าประเทศที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือประเทศแคนาดา เนื่องจากเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมมายังสหรัฐฯมากที่สุด ซึ่งส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมแทบจะทั้งหมดที่ผลิตได้มายังสหรัฐฯ มากกว่าประเทศคู่ค้าลำดับรองลงมา อาทิ เยอรมัน ญี่ปุ่น เม็กซิโก เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ รวมกัน อย่างไรก็ตามประเทศอื่นนอกไปจากแคนาดาแล้ว คาดว่าจะมีผลกระทบที่น้อยกว่ามาก เนื่องจากหลายประเทศส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมของตนมาสหรัฐฯในสัดส่วนที่น้อยกว่าที่ส่งออกไปยังตลาดอื่น หรือที่บริโภคเองในประเทศ อาทิ ประเทศบราซิล เกาหลีใต้ และจีน เป็นต้น
ข้อเสนอแนะ: ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศไทย ควรศึกษาข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ซึ่งมีความต้องการสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่แตกต่างกัน เพิ่มประโยชน์ในการวางแผนการผลิตสินค้าชและการขยายตลาดสินค้าการส่งออกของตนมายังตลาดสหรัฐฯ ตามข้อมูลที่ปรากฎในรายงานข่าวข้างต้น โดยคำนึงถึงความไม่แน่นอนของการกำหนดนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และข้อสำคัญที่สุดคือต้องไม่ลืมว่าอัตรากำแพงภาษีที่ปรากฎในเนื้อข่าว คืออัตรากำแพงภาษีสำหรับปัจจุบันเท่านั้น หมายความว่ายังมีโอกาสปรับลดลงได้อีกเช่นกัน ตราบใดที่การเจรจาข้อตกลงทางการค้ายังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้น การติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวางแผนการส่งออกมายังสหรัฐฯ
ที่มา: Council on Foreign Relations เรื่อง: “Trump’s New Aluminum and Steel Tariffs Explained in Six Charts” โดย: Shannon K. O’Neil และ Julia Huesa สคต. ไมอามี /วันที่ 11 มิถุนายน 2568