หากพิจารณาเพียงในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็อาจดูเหมือนว่า ภาพรวมสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศภายใต้รัฐบาลกลางชุดใหม่ไม่เลวร้ายมากนัก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้น 0.2% ในไตรมาสแรก เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ภาคการผลิตเติบโต 1.4 % ในไตรมาสแรก อุตสาหกรรมที่ประสบภาวะวิกฤตได้ออกรายงานว่า ธุรกิจของตนดีขึ้น 1.7 % โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างขยายตัว 0.7% และอุตสาหกรรมพลังงานขยายตัว 1.0 % นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของปริมาณคำสั่งซื้อในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ชี้ว่า ระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังทยอยฟื้นตัวขึ้น ท้ายที่สุดแล้วตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด อย่างเช่นดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในระดับผู้บริหาร (Geschäftsklimaindex) ที่จัดทำโดยสถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) ได้ขยายตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือนต่อเนื่อง (แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม) ซึ่งดูเหมือนว่า นาย Friedrich Merz นายกรัฐมนตรีและนาง Katherina Reiche รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจคนใหม่ของเขา (จากพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี หรือ CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) จะเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ดูแลการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงที่ทยอยกลับมาดีแล้วจริงหรือ
แต่เมื่อดูสถานการณ์ของรัฐบาลกลางชุดใหม่แล้ว ก็ยังไม่ได้สวยหรูอะไรมากนัก โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา GDP ที่แท้จริงมักเพิ่มขึ้นเสมอ ในไตรมาสที่ 1 และ 3 ของปี ก่อนที่จะหดตัวในไตรมาสที่ 2 และ 4 ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการปรับข้อมูลทางสถิติตามความผันผวนตามฤดูกาล อย่างฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงอาจทำให้การขยายตัวของ GDP ที่แท้จริงในไตรมาสที่ 1 สูงเกินจริง ส่งผลให้เกิดการแก้ไขในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ นโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบได้ในอนาคต ซึ่งความใหญ่โตของผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหน ณ ขณะนี้ ยังไม่สามารถประเมินได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางเยอรมันได้ออกมาตือนในแถลงการณ์ว่า “ปัจจัยลบจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ และในบางกรณีที่ถูกระงับชั่วคราว รวมถึงแนวโน้มธุรกิจที่แย่ลงนั้น ไม่สามารถตัดการประเมินความเป็นไปได้ที่ภาคอุตสาหกรรมจะกลับมาอ่อนแออีกครั้ง” ตัวชี้วัดด้านอุตสาหกรรมหลักที่ลดลงในระดับต่ำ ณ ขณะนี้ถือเป็นเรื่องน่าตกใจ ปริมาณคำสั่งซื้อที่อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2017 ประมาณ 15% และสถานการณ์ในภาคการผลิตก็แทบจะไม่ดีขึ้นเลย จากการสำรวจของ Ifo พบว่า สถานการณ์ของปริมาณคำสั่งซื้อในเกือบทุกอุตสาหกรรมย่ำแย่ โดยในเดือนเมษายน 2025 บริษัทกว่า 24.4% แจ้งว่า ความสามารถในการแข่งขันในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับประเทศนอกสหภาพยุโรป (EU) โดยในเดือนมกราคม 2025 ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 23.9% ด้านนาย Klaus Wohlrabe ผู้เชี่ยวชาญของ Ifo กล่าวว่า “อุตสาหกรรมของเยอรมนีได้ทยอยสูญเสียความแข็งแกร่งในด้านต่าง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ” บรรยากาศหรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเองก็แทบจะไม่ดีขึ้นเลย ความกลัวที่จะประสบกับการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มดำเนินโครงการรัดเข็มขัด และบริษัทจำนวนมากบอกลาตลาดโดยสิ้นเชิง ตามการคำนวณสถาบัน Leibniz เพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจ แห่งเมือง Halle (IWH – Leibniz-Institut für Wirtschaftsforschung Halle) พบว่า จำนวนบริษัทที่ล้มละลายในเดือนเมษายน 2025 อยู่ที่ 1,626 บริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้น 11% จากเดือนก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 21% จากเดือนเมษายน 2024 และเพิ่มขึ้น 67% จากค่าเฉลี่ยเดือนเมษายนในช่วงปี 2016 – 2019 นอกจากนี้ นาย Steffen Müller ผู้เชี่ยวชาญของ IWH กล่าวว่า “ตัวเลขเดือนเมษายน 2025 ยังสูงกว่าตัวเลขของช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008/09 อีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่มีการนับจำนวนห้างหุ้นส่วนและบริษัทที่ล้มละลายในเยอรมนีได้สูงกว่าตัวเลขดังกล่าวก็คือ ในเดือนกรกฎาคม 2005” ผู้มีรายได้เฉลี่ยจำนวนมากรู้สึกว่า ตนเองยากจนลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าค่าจ้างจะเพิ่มขึ้น 3.1% ในปีที่แล้วก็ตาม เมื่อดูตามข้อมูลอย่างเป็นทางการ ผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกว่า ตนสามารถจ่ายได้น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะต้องเผชิญกับราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ในอีกแง่หนึ่งแม้ว่า มูลค่าที่แท้จริงของค่าจ้าง (หลังจากหักลบอัตราเงินเฟ้อ) จะเพิ่มขึ้น เมื่อไม่นานนี้ แต่ปัจจุบันรายได้จริงกลับอยู่ที่ระดับปี 2017 เท่านั้น ดังนั้นหมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพจึงสูญเสียมูลค่าที่แท้จริงของค่าจ้างไป 7 ปี นอกจากนี้ เงินสมทบประกันสังคมยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานนี้ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างรายได้รวมและรายได้สุทธิกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้น การบริโภคของภาคครัวเรือนจึงยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลกลาง ที่วางแผนส่งแพ็คเกจหนี้สำหรับการปรับปรุงกองทัพ และโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย เพื่อที่จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ ต้องพิจารณาว่าโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานนั้นมักมีระยะเวลาเตรียมการนาน เนื่องจากต้องวางแผนและยื่นประมูลก่อน จึงยังไม่แน่ชัดว่า จะส่งเสริมเศรษฐกิจได้เร็วเพียงใด เช่นเดียวกับยุทโธปกรณ์ทางทหาร นอกจากนี้ ยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่มักนำเข้าจากต่างประเทศ โดยการนำเข้านั้นก็ไม่ได้ทำให้ GDP เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งแม้จะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต้องใช้เงินกู้ปริมาณมหาศาล กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งรัฐบาลบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) และพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) 3 พรรคร่วมรัฐบาลก็สัญญากับตนเอง และผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ใน MOU ข้อตกลงร่วมรัฐบาลว่า จะเพิ่มการเติบโตตามแนวโน้มของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ ขยายศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีเมื่อประเทศมีกำลังการผลิตปกติ ในแถลงการณ์ระบุว่า “เป้าหมายของเรา คือ เพิ่มการเติบโตที่เป็นไปได้ให้สูงกว่า 1.0%อีกครั้ง ด้วยหลักการของเศรษฐกิจระบบตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) และจุดแข็งของเรา” โดยแถลงการณ์กล่าวต่อว่า “เราจะพัฒนาเยอรมนีให้กลายเป็นที่ตั้งธุรกิจที่น่าสนใจ ปลดปล่อยพลังการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปโครงสร้างและเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง” เพราะสิ่งนี้จำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจาก (1) แนวโน้มการลงทุนที่อ่อนตัวลง (2) การขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และ (3) อุปทานแรงงานที่ลดลงเนื่องจากประชากรสูงอายุ แนวโน้มในปัจจุบันของการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 0.3% ต่อปีเท่านั้น ในไตรมาสแรกของปีนี้ จำนวนผู้มีงานทำหลังจากหักลบค่าผันผวนตามฤดูกาลแล้วลดลงเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน แม้ว่านาย Merz นายกรัฐมนตรีจะประกาศแผนผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับสิ้นเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งในแผนดังกล่าวรวมถึงเงื่อนไขค่าเสื่อมราคาที่เอื้ออำนวย และราคาไฟฟ้าที่ลดลง แต่ก็ไม่มีแผนโดยรวมที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะแต่อย่างใด สถาบัน Handelsblatt Research Institute ได้คาดาการณ์ว่า GDP จะหดตัวลงเล็กน้อยอีกครั้งในปีนี้ เช่นเดียวกับที่สถาบันเศรษฐศาสตร์เยอรมนี (IW – das Institut der deutschen Wirtschaft) คาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ในปีหน้าหากไม่มีเหตุการณ์หยุดชะงักร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเยอรมนีอาจเติบโตได้ไม่ถึง 1.0 % เท่านั้น
จาก Handelsblatt 13 มิถุนายน 2568