สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 200 เปโซ ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 สภาผู้แทนราษฎร (The House of Representatives) ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำฉบับแรกในรอบเกือบสี่ทศวรรษ ในการพิจารณาวาระที่สามและวาระสุดท้าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของแรงงานภาคเอกชนอีกจำนวน 200 เปโซ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนสิ้นสุดสมัยประชุมรัฐสภาครั้งที่ 19 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียงจำนวน 172 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหมายเลข 11376 การผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวนี้ ถือเป็นการนำไปสู่การเจรจาระหว่างสองสภา (Bicameral talks) กับวุฒิสภา ซึ่งได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติคู่ขนานไปแล้วในปี 2567 โดยร่างพระราชบัญญัติฉบับที่ 2534 เสนอการปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราที่น้อยกว่าที่ 100 เปโซ

 

นาย Raymond Democrito Mendoza สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก Trade Union Congress of the Philippines: TUCP หนึ่งในผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างสามารถช่วยส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของแรงงาน และครอบครัวกว่า 5 ล้านคนให้ดีขึ้น แต่จะปรับขึ้นในอัตราเท่าใด ซึ่งในมุมมองของแรงงานคือการปรับขึ้นยิ่งมากยิ่งดี นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดี Ferdinand Bongbong Marcos Jr. ลงนามในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งจะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี รัฐบาลควรได้รับการจดจำว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ กล้าหาญ และมีเจตจำนงที่จะขจัดความยากจนให้แก่แรงงานของประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี Marcos ได้แสดงความกังวลต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเน้นถึงความสำคัญในการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อธุรกิจซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำในฟิลิปปินส์กำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างระดับภูมิภาค (Regional Wage Boards) เพื่อสะท้อนถึงความแตกต่างของค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่โดยมีการปรับเป็นระยะตามลักษณะงานและสภาพภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรมหรือไม่ก็ตาม

 

ทั้งนี้ กลุ่มแรงงานได้วิจารณ์ระบบค่าจ้างของคณะกรรมการระดับภูมิภาคว่า สร้างความไม่เท่าเทียม เนื่องจากคนงานทำงานในปริมาณและลักษณะเดียวกัน แต่ได้รับค่าจ้างแตกต่างกัน แม้จะเผชิญกับค่าครองชีพที่ใกล้เคียงกัน ช่องว่างนี้เห็นได้ชัดจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละภูมิภาค เช่น Metro Manila มีค่าจ้างขั้นต่ำ 645 เปโซต่อวัน ขณะที่ Bangsamoro Autonomous Region ใน Muslim Mindanao มีค่าจ้างเพียง 361 เปโซต่อวัน ระบบค่าจ้างปัจจุบันมีแนวโน้มเอื้อประโยชน์ให้นายจ้าง และการปรับขึ้นค่าจ้างเพียงเล็กน้อยในปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าครองชีพขั้นต่ำที่คาดการณ์ไว้มากกว่า 1,200 เปโซต่อวันต่อครอบครัว

 

นาย Arlene Brosas สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก Gabriela Women’s Party แสดงความคิดเห็นว่าค่าจ้างเฉลี่ยในประเทศขณะนี้ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย หรือปัจจัยยังชีพพื้นฐานอื่นๆ รวมถึงไม่สามารถมีเงินออมได้

 

นาย Eduardo Villanueva สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก CIBAC Party-List กล่าวว่า แรงงานสมควรได้รับค่าจ้าง พร้อมเน้นย้ำว่าการเสนอปรับขึ้นค่าจ้างของสภานิติบัญญัติไม่ใช่เพียงมาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ทางจริยธรรม ที่ต้องปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและเมตตาต่อแรงงานของชาติ

 

IBON Foundation วิเคราะห์ว่า บริษัทขนาดใหญ่สามารถรับภาระจากการขึ้นค่าแรงได้ และยังคงสามารถสร้างผลกำไรได้อยู่ หากร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ รัฐบาลมีแผนที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่อาจได้รับผลกระทบทางการเงินมากขึ้นตามที่ร่างพระราชบัญญัติกำหนด

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ Philstar Global

 

บทวิเคราะห์/ ข้อคิดเห็น

  • สภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 172 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหมายเลข 11376 ว่าด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของแรงงานภาคเอกชนจำนวน 200 เปโซ นับเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบสี่ทศวรรษ ก่อนสิ้นสุดสมัยประชุมรัฐสภาครั้งที่ 19 ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเข้าสู่กระบวนการเจรจาระหว่างสองสภา (Bicameral Conference Committee) กับวุฒิสภาซึ่งได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติคู่ขนานฉบับที่ 2534 โดยเสนอปรับขึ้นค่าจ้างในอัตรา 100 เปโซ ร่างพระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานกว่า 5 ล้านคน โดย ส.ส.ผู้เสนอร่างฯ ได้แก่ นาย Raymond Democrito Mendoza จาก TUCP ได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. ลงนามประกาศใช้โดยเร็ว เพื่อสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองในการขจัดความยากจนจากค่าจ้าง ทั้งนี้ ประธานาธิบดีได้แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการรายย่อยและอัตราเงินเฟ้อ พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นในการศึกษาผลกระทบโดยรอบ ค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้างระดับภูมิภาค ซึ่งมีความแตกต่างตามพื้นที่และลักษณะงาน เช่น Metro Manila มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 645 เปโซต่อวัน ขณะที่ Bangsamoro Autonomous Region มีเพียง 361 เปโซต่อวัน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำแม้มีค่าครองชีพใกล้เคียงกัน กลุ่มแรงงานและสมาชิกสภาหลายฝ่ายได้วิพากษ์ระบบค่าจ้างดังกล่าวว่าเอื้อประโยชน์ต่อนายจ้างและไม่สะท้อนความเป็นจริงของค่าครองชีพซึ่งเฉลี่ยเกินกว่า 1,200 เปโซต่อวัน ส.ส. Arlene Brosas และส.ส. Eduardo Villanueva ได้ย้ำว่าการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นทั้งภารกิจด้านเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม อย่างไรก็ตาม IBON แสดงความเห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายจากการขึ้นค่าจ้างได้ และยังคงสามารถสร้างผลกำไรได้อยู่ โดยรัฐบาลมีแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ การผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเป็นธรรมด้านแรงงานและลดช่องว่างทางเศรษฐกิจในประเทศ

 

  • การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในฟิลิปปินส์อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างต้นทุนแรงงานในภาคการผลิตของฟิลิปปินส์ ผู้ส่งออกไทยที่มีฐานการผลิตหรือมีพันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่นฟิลิปปินส์จำเป็นต้องประเมินผลกระทบด้านต้นทุนที่อาจสูงขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแรงงานในอาหารแปรรูป เสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกันผู้นำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์ควรเตรียมรับมือกับต้นทุนสินค้าที่อาจสูงขึ้นเช่นกัน การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรติดตามนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยของรัฐบาลฟิลิปปินส์ เพราะจะมีผลต่อศักยภาพการแข่งขันของคู่ค้า รวมถึงควรปรับกลยุทธ์ด้านต้นทุน การจัดซื้อ และการเจรจาราคาให้เหมาะสม นอกจากผลกระทบด้านต้นทุนและราคาสินค้าแล้ว ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกไทยควรพิจารณาโอกาสเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้างอาจส่งผลให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าระดับกลางถึงพรีเมียม เช่น อาหารสุขภาพ เครื่องสำอาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้โอกาสนี้ขยายตลาดสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในฟิลิปปินส์ ทั้งนี้การปรับโครงสร้างค่าจ้างในระยะยาวอาจส่งผลต่อการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติหรือการจัดลำดับความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างประเทศในภูมิภาค ผู้ประกอบการไทยที่มีแผนลงทุนในต่างประเทศควรประเมินความคุ้มค่าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ตลอดจนใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนธุรกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์แรงงานในภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

—————————————

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา

มิถุนายน 2568

 

thThai