ตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน

ตลาดแรงงานยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม โดยยังรักษาการเติบโตของการจ้างงาน แม้จะเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวจากภาษีศุลกากร อัตราดอกเบี้ยที่สูง และการลดขนาดของหน่วยงานรัฐบาลกลาง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 ว่านายจ้างได้เพิ่มตำแหน่งงาน 139,000 ตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ในขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ 4.2%

ตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ตัวเลขที่ทรงตัวนี้ กลับมีสัญญาณของความไม่ชัดเจนปรากฏขึ้น จากข้อมูลการจ้างงานย้อนหลังแสดงให้เห็นว่าในเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 มีการการปรับปรุงตัวเลขการจ้างงานน้อยกว่าที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้ถึง 95,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่สับสนของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทำให้ภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศชะลอการจ้างงาน เนื่องจากธุรกิจต่างพากันปรับแผนธุรกิจเพื่อรอให้นโยบายเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ภาคการผลิตและค้าปลีกมีการลดตำแหน่งงานลง รวมทั้ง การจ้างงานในภาคขนส่งและคลังสินค้ากำลังลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ธุรกิจเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าก่อนที่ภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้

นายซามูเอล ทอมส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ แห่งสำนักวิจัย Pantheon Macroeconomics กล่าวว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอลงอย่างช้าๆ และภายในฤดูใบไม้ร่วง เราจะได้เห็นแนวโน้มที่อ่อนแอชัดเจนมากยิ่งขึ้น”

การเติบโตของงานเกือบทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพและสังคม ซึ่งมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 78,000 ตำแหน่ง รวมถึง อุตสาหกรรมการบริการและสันทนาการที่มีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 48,000 ตำแหน่ง สำหรับภาคส่วนอื่นๆ ส่วนใหญ่ค่อนข้างคงที่ ความไม่สมดุลนี้บ่งชี้ว่าการเติบโตของการจ้างงานไม่ได้กระจายวงกว้างอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหวัง การเติบโตในอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพและสังคมส่วนหนึ่งเกิดจากประชากรผู้สูงอายุในสหรัฐอเมริกามีมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างแท้จริง

ตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน

นายแซม คูห์น นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทจัดหางาน Appcast กล่าวว่าหากไม่นับภาคอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพและสังคม ความต้องการจ้างงานทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจไม่ได้มีมากนัก โดยชี้ว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการจ้างงานต่อปีขณะนี้ต่ำที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ หากไม่นับช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำจากการระบาดโควิด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการจ้างงานกำลังชะลอตัวลง แต่ค่าจ้างยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้น 0.4%จากเดือนเมษายน และเพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และสำหรับผู้ยื่นขอรับเงินสวัสดิการว่างงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวล

โดยรวมแล้ว ข้อมูลการจ้างงานในเดือนพฤษภาคม 2568 ยังคงอยู่ในระดับที่ดีเพียงพอ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดแรงงานอ่อนแอลง โดยเฉพาะในขณะนี้มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์

ความระมัดระวังในการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ออกมาเรียกร้องให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งด้านเงินเฟ้อและการว่างงานส่วนใหญ่มาจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์เอง

การจ้างงานที่ลดลงมากที่สุดในเดือนพฤษภาคมมาจากภาครัฐบาลกลาง ซึ่งเลิกจ้างพนักงานถึง 22,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว และการจ้างงานในภาครัฐบาลลดลงไปแล้ว 59,000 ตำแหน่งนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงผู้ที่อยู่ในช่วงลาพักงาน หรือผู้ที่ถูกเลิกจ้างเมื่อสัญญากับรัฐบาลกลางถูกยกเลิก อีกทั้งยังมีการประกาศระงับการจ้างงานใหม่จากภาครัฐบาลที่เคยเกิดขึ้นตามปกติอีกด้วย

ผลกระทบจากการเลิกจ้างส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรุงวอชิงตันและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเริ่มส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพารายได้ที่ค่อนข้างสูงของพนักงานภาครัฐ สหพันธ์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในรัฐเวอร์จิเนียตอนเหนือ (The Northern Virginia Economic Development Alliance) คาดการณ์ว่าตำแหน่งงานในภูมิภาคนี้จะหายไปราว 64,000 ตำแหน่ง ซึ่งรวมไปถึงพนักงานภาครัฐและผู้ที่ทำงานภายใต้สัญญากับรัฐบาล และงานอีกหลายหมื่นตำแหน่งที่อาจหายไปจากการที่กำลังซื้อของกลุ่มพนักงานภาครัฐหายไป

ในภาคเอกชน การจ้างงานที่หยุดชะงักในสาขาต่างๆ เช่น การผลิต การก่อสร้าง และการให้บริการเฉพาะด้าน บ่งชี้ว่าธุรกิจกำลังชะลอการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ เพราะไม่แน่ใจในนโยบายเศรษฐกิจ ผลสำรวจชี้ว่าบริษัทต่างๆ วางแผนที่จะจ้างงานน้อยลง กรณีนี้รวมไปถึงบริษัท Toad & Company แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งในเมืองซานตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทค่อยๆ ย้ายแหล่งผลิตออกจากจีน ทำให้ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรไม่มากนัก แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้ทำให้แผนการขยายธุรกิจที่เคยวางไว้สำหรับปีนี้และปีหน้าต้องหยุดชะงักลง

นายกอร์ดอน ซีเบอรี ผู้บริหารของ Toad & Company กล่าวว่า “ความเปลี่ยนแปลงทำให้เราต้องชะลอตัวลงและหันมาใส่ใจพนักงานของเรามากขึ้น ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป แต่เราเลือกที่จะระมัดระวังมากขึ้นกับแผนการเติบโตในอนาคต”

ตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วน

กลุ่มแรงงานเองก็รู้สึกถึงผลกระทบเช่นกัน แบบสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าผู้บริโภคที่กังวลว่าจะตกงานมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า แม้อัตราการว่างงานจะทรงตัวในเดือนพฤษภาคม แต่ขนาดของแรงงานกลับลดลง เพราะมีคนน้อยลงที่มองหางาน สัดส่วนของผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน (25-54 ปี) ที่มีงานหรือกำลังหางานลดลงเหลือ 83.4% และดูเหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้นหลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการปราบปรามผู้อพยพของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งล่าสุดได้ขยายไปสู่การบุกจับแรงงานในไซต์ก่อสร้างและร้านอาหาร มีผู้อพยพประมาณ 500,000 คนเพิ่งสูญเสียสิทธิในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในสหรัฐฯ เมื่อศาลสูงสหรัฐฯ อนุญาตให้รัฐบาลยุติสถานะคุ้มครองชั่วคราวแก่ผู้อพยพจาก 4 ประเทศ ยังไม่ชัดเจนว่ากลุ่มคนเหล่านี้เดินทางกลับประเทศหรือแค่หยุดไปทำงานเพราะกลัวถูกจับกุม

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากภาษีศุลกากรกดดันงบประมาณของครัวเรือนและจำกัดการใช้จ่ายกับสิ่งฟุ่มเฟือยเล็กน้อย เช่น การรับประทานอาหารนอกบ้าน แม้สิ่งนี้อาจไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยตรง แต่ก็กำลังทำให้เศรษฐกิจเปราะบางมากขึ้น

นอกจากนี้ อีก 1 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในตลาดแรงงานคือบัณฑิตจบใหม่ โดยอัตราการว่างงานของผู้ที่มีอายุระหว่าง 22-27 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 5.8% ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ตามรายงานจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก โดยนักวิจัยชี้ว่าส่วนหนึ่งของปัญหาการหางานนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้าง

ตลาดการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปั่นป่วนรายงานล่าสุดจาก Oxford Economics ระบุว่าแม้สถานการณ์บางส่วนเป็นการปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติหลังจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงหลังโควิด-19 แต่มีสัญญาณว่าตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นกำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอัตราที่เพิ่มขึ้น

นาง Allison Shrivastava นักเศรษฐศาสตร์จากเว็บไซต์จัดหางาน Indeed ระบุว่าระดับการเลิกจ้างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการหางาน โดยเฉพาะในสาขาการเงิน เทคโนโลยี และการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งมีจำนวนตำแหน่งงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ข้อมูลอ้างอิง New York Times

 

thThai