ฮ่องกงกำลังประสบกับปัญหาในอุตสาหกรรมร้านอาหาร ทั้งร้านอาหารกลุ่มราคาประหยัดและร้านระดับพรีเมียมล้วนเผชิญกับผลกระทบอย่างหนักจากการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง กลุ่มธุรกิจร้านอาหารอย่าง King Parrot Group ประกาศปิดร้านอาหารที่ดำเนินกิจการมา 33 ปี จำนวน 9 แห่ง ท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มสูงขึ้นว่าอาจมีร้านอาหารอื่นๆ ต้องปิดตัวลงตาม เนื่องจากแรงกดดันด้านปัญหากระแสเงินสดและสภาพเศรษฐกิจ
Mr. Chiu Kwun-chung, Head of the Eating Establishment Employees General Union’s Labour Rights Committee กล่าวว่าจากการที่ธุรกิจร้านอาหารประสบปัญหาส่งผลให้อัตราการว่างงานของชาวฮ่องกงเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ร้านอาหารในกลุ่มราคาประหยัด เช่น Ocean Empire Food Shop ไปจนถึงการล่มสลายของเครือร้านอาหารระดับพรีเมียมอย่าง King Parrot อนาคตของอุตสาหกรรมร้านอาหารจึงเต็มไปด้วยความท้าทายที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลาเดียวกัน การใช้จ่ายข้ามพรมแดนในเซินเจิ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตปกติของชาวฮ่องกงหลายคน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในฮ่องกงต้องเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น มีแนวโน้มที่ปรากฏชัดในร้านอาหารจีนหลายแห่งที่ผู้ประกอบการจำนวนมากจำเป็นต้องให้พนักงาน
ลางานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง
Mr. Chiu ระบุว่าอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลที่ยังคงผลักดันการนำเข้าแรงงานจากนอกพื้นที่ กำลังสร้างผลกระทบในเชิงลบต่อสถานการณ์ปัจจุบันโดยแรงงานท้องถิ่นที่ตกงานและการแข่งขันกับแรงงานต่างชาติ ทำให้ปัญหาซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น
Mr. Simon Wong Ka-wo, President of the Hong Kong Federation of Restaurants and Related Trades เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมร้านอาหารกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก โดยแนวโน้มการใช้จ่ายข้ามพรมแดนในจีนส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารในฮ่องกงลดลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และเล็กสถานการณ์ปัจจุบันย่ำแย่กว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเน้นว่าปัญหาหลักอยู่ที่การปิดกิจการและการลดลงของการบริโภค ขณะเดียวกัน ผู้คนพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น มีแนวโน้มใช้เงินในเซินเจิ้นช่วงสุดสัปดาห์มากกว่าปกติ แม้แต่นักท่องเที่ยวที่เคย
ใช้เงินในฮ่องกงก็เริ่มลดการจับจ่าย จะเห็นได้จากรายได้จากร้านอาหารในไตรมาสแรกอยู่ที่ 28,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดการสั่งซื้อของร้านอาหารอยู่ที่ 8,800 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ลดลง 1.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
Mr. Simon Wong Ka-wo กล่าวว่าธุรกิจจำนวนมากที่ปิดตัวหรือกำลังเตรียมจะปิดตัว กำลังเผชิญกับการขาดทุนและปัญหากระแสเงินสดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะร้านอาหารขนาดเล็กซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากธนาคารที่เริ่มเรียกคืนเงินกู้ ส่งผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และทำให้จำนวนการล้มละลายเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาและต้นปีนี้
แม้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องมีนโยบายที่พิเศษและเหมาะสมมากขึ้นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และการค้าปลีก รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนเพิ่มการใช้จ่าย โดยรัฐบาลควรพิจารณาการแจกบัตรกำนัลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงินก็ตาม
Mr. John Lee Ka-chiu ผู้บริหารระดับสูงของฮ่องกงได้กล่าวถึงความท้าทายในภาคค้าปลีก โดยชี้ว่าธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ทั้งนี้ ในภาพรวมเศรษฐกิจของฮ่องกงยังคงแสดงความแข็งแกร่ง สะท้อนจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของธุรกิจระหว่างประเทศ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ในปีนี้ พร้อมกันนี้ เขายังเน้นย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะดำเนินมาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง
สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้อในฮ่องกง ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมเดินทางไปจับจ่ายใช้สอยที่เซิ่นเจิ้นในช่วงวันหยุด ระมัดระวังการใช้จ่าย และเลือกซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่า ทำให้สินค้าที่จะสามารถแข่งขันได้ในตลาดฮ่องกงอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีจุดขายและข้อแตกต่างที่ชัดเจน เช่น สินค้าที่ดีต่อสุขภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์การบริโภคสินค้าในอนาคต เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาวที่ตลาดฮ่องกงได้
แหล่งข้อมูล: www.scmp.com/news/hong-kong/hong-kong-economy/