นายกรัฐมนตรีเวียดนามเร่งแก้ปัญหาสินค้าเกษตรค้างด่าน สั่งหน่วยงานบูรณาการเต็มรูปแบบ รับมือฤดูเก็บเกี่ยวปลายปี

เนื้อข่าว

นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ลงนามในหนังสือสั่งการฉบับที่ 79 (79/CĐ-TTg) เพื่อเตรียมความพร้อมมาตรการรับประกันการผลิต การแปรรูป การจำหน่าย และการส่งออกสินค้าเกษตร โดยในหนังสือสั่งการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานกับหน่วยงานของประเทศผู้นำเข้า เพื่อเร่งรัดกระบวนการตรวจปล่อยสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสด (Fresh agricultural products) ให้ผ่านด่านได้รวดเร็วที่สุด เพื่อลดปัญหาการสะสมและการค้างคาของสินค้า ณ ด่านชายแดน

สำนักข่าวเวียดนามรายงานว่า สถานการณ์การผลิต การจำหน่าย และการส่งออกสินค้าเกษตรยังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยด้านสภาพอากาศและความผันผวนของตลาด โดยปัญหาการได้ผลผลิตมากแต่ราคาตกต่ำ รวมถึงสินค้าล้นตลาดไม่สมดุลกับความต้องการ และปัญหาการค้างสินค้าที่ด่านชายแดน ยังคงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม (Ministry of Agriculture and Environment) แนะนำให้ท้องถิ่นเร่งตรวจสอบและเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งเมล็ดพันธุ์ พันธุ์สัตว์ วัสดุและปุ๋ย เพื่อรองรับการผลิตในช่วงปลายปี 2568 พร้อมทั้งวางแผนและมาตรการที่ชัดเจนสำหรับการจัดการกระบวนการผลิต การเก็บเกี่ยว และการจัดจำหน่ายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะยังคงดำเนินมาตรการเข้มงวดในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์และพืช เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดรุนแรงในวงกว้างซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในส่วนของปศุสัตว์ การประมง และการเพาะปลูก

ในขณะเดียวกัน ท้องถิ่นจะต้องประสานความร่วมมือกับสมาคมและผู้ประกอบการเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ปลูกวัตถุดิบ รวมถึงส่งเสริมการเก็บรักษาและแปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ กับบริษัทผู้ซื้อส่งออกและระบบจัดจำหน่าย เพื่อเปิดช่องทางการตลาดที่มั่นคงในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมจะร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าในการผลักดันการเปิดช่องทางทางเทคนิค (Technical openness) โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรผ่านช่องทางปกติไปยังประเทศจีน พร้อมทั้งแนะนำท้องถิ่น สมาคม และผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดส่งออก โดยเฉพาะเรื่องฉลาก การตรวจสอบย้อนกลับ ข้อกำหนดการตรวจสอบคุณภาพ การกักกันโรค รูปแบบบรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานสินค้าเกษตรอย่างครบถ้วน

ในด้านการพัฒนา นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำให้เร่งวิจัยและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในภาคเกษตร พร้อมทั้งส่งเสริมการนำพันธุ์พืชและสัตว์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพดี และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงมาใช้ เพื่อยกระดับผลผลิตและคุณภาพ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีช่วยในการเก็บรักษาและแปรรูปสินค้า โดยเฉพาะผลไม้และสินค้าที่มีมูลค่าสูง ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และเปลี่ยนจากการส่งออกวัตถุดิบดิบเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ผลิตภัณฑ์กระป๋อง ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตรได้อย่างมาก

นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้กระทรวงการคลังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรประสานงานกับฝ่ายชายแดนและหน่วยงานของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะที่ด่านส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีน เพื่อกำหนดมาตรการและจัดลำดับความสำคัญในการตรวจปล่อยสินค้าเกษตรสดให้รวดเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาปัญหาการสะสมสินค้าค้างที่ด่านชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการค้า ขยายตลาดส่งออกให้หลากหลาย พร้อมทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า เช่น สัปดาห์สินค้าเกษตร งานแสดงสินค้าเวียดนาม เพื่อเปิดโอกาสในตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งเวียดนาม (Vietnam Retailers Association) เพื่อประชาสัมพันธ์และจำหน่ายสินค้าเกษตรทั้งทางตรงและออนไลน์โดยเน้นการบริโภคในท้องถิ่น โดยเฉพาะข้าว ผักและผลไม้ เช่น ทุเรียน ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง และแก้วมังกร ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการประชาชน (The Chairmen of the People’s Committees of provinces) ของจังหวัดที่มีด่านชายแดน เช่น จังหวัดหล่างเซิน (Lang Son)  จังหวัดหล่าวกาย (Lao Cai) จังหวัดกว๋างนินห์ (Quang Ninh) จังหวัดกาวบั่ง (Cao Bang) จังหวัดห่ายาง (Ha Giang) จังหวัดเดี่ยนเบียน (Dien Bien) และจังหวัดลายเจิว (Lai Chau) จะต้องติดตาม ประเมิน และคาดการณ์สถานการณ์การเคลื่อนย้ายและการสะสมสินค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมและดำเนินมาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้การลำเลียงสินค้า ณ บริเวณด่านชายแดนเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

 (แหล่งที่มา https://thesaigontimes.vn/ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรกรรมยังคงเผชิญกับปัญหาหลายประการ ทั้งในด้านการผลิต การบริโภค และการส่งออก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร รวมถึงต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของภาคเกษตรโดยรวม

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ รัฐบาลเวียดนามโดยนายกรัฐมนตรีจึงได้ลงนามในคำสั่งเลขที่ 79/CĐ-TTg โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดดำเนินมาตรการที่ครอบคลุมทั้งการผลิต การแปรรูป การบริโภค และการส่งออกสินค้าเกษตรอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบในการตรวจสอบและประเมินสภาพการผลิตในช่วงปลายปี 2568 รวมถึงการวางแผนการเก็บเกี่ยวและการกระจายสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยเน้นการปรับเปลี่ยนฤดูกาลผลิตเพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารและรองรับการส่งออกควบคู่ไปกับการป้องกันโรคระบาดในพืชและสัตว์อย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเชื่อมโยงพื้นที่ผลิตกับธุรกิจแปรรูป พร้อมผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล เพื่อยกระดับมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการตลาดโดยเฉพาะในตลาดส่งออกหลักอย่างประเทศจีน อีกทั้งส่งเสริมให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความพร้อมในการแข่งขันระดับโลก

ในขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้รับมอบหมายให้เร่งส่งเสริมการค้า จัดกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ และประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการจำหน่ายผลผลิตตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน ลิ้นจี่ ลำไย และแก้วมังกร ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังก็มีหน้าที่กำกับดูแลด่านศุลกากร เพื่อประสานงานกับหน่วยงานชายแดน โดยเฉพาะด่านในภาคเหนือ ให้เร่งรัดกระบวนการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าสด และลดปัญหาความแออัดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ประธานคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีด่านชายแดน จำเป็นต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลตลาด พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่เกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการในการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์สินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่รองรับการส่งออกอย่างเป็นทางการ พร้อมติดตามสถานการณ์ที่ด่านชายแดนอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการขนส่งสินค้าและแจ้งข้อมูลสำคัญให้กับผู้ประกอบการทราบอย่างทันท่วงที ช่วยให้การวางแผนผลิตและจำหน่ายเป็นไปอย่างเหมาะสมและลดปัญหาสินค้าตกค้างได้อย่างมีประสิทธิผล

สำหรับปี 2567 เวียดนามสามารถส่งออกสินค้าเกษตรด้วยมูลค่ากว่า 32,800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดหลักอย่างประเทศจีนยังคงมีบทบาทสำคัญ รองรับสัดส่วนราวร้อยละ 21.6 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤดูเก็บเกี่ยวกระจุกตัวในช่วงเวลาสั้น เช่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ และมะม่วง ซึ่งมีความไวต่อเวลาเป็นอย่างมาก หากกระบวนการขนส่งล่าช้าเพียงไม่กี่วัน อาจส่งผลให้ผลผลิตเกิดการเน่าเสียและสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 30–40 ด้วยเหตุนี้ การเร่งรัดกระบวนการตรวจปล่อยสินค้าเกษตรสดจึงเป็นมาตรการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และลดปัญหาการสะสมของรถบรรทุกที่ด่านชายแดน

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีในการเร่งรัดอำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าเกษตรสด โดยเฉพาะในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลเวียดนามในการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการตอบสนองอย่างจริงจังต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนาน เช่น ปัญหาผลผลิตล้นตลาด การขนส่งล่าช้า และการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การขับเคลื่อนนโยบายด้านการเกษตรของเวียดนามอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันของสินค้าเกษตรในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทั้งเวียดนามและไทย เวียดนามได้วางรากฐานการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปจนถึงการเร่งรัดพิธีการศุลกากรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้สินค้าเกษตรสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค สร้างความได้เปรียบด้านเวลา คุณภาพ และความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าเกษตรไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผลไม้สดที่มีฤดูกาลเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกัน เช่น ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ และมะม่วง

ในด้านโอกาส ผู้ประกอบการไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้แนวทางของเวียดนามเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพัฒนาระบบผลิตและโลจิสติกส์ การใช้เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานของเวียดนามเป็นช่องทางกระจายสินค้าไทยสู่จีนในช่วงฤดูผลผลิตสูง รวมถึงพิจารณาการร่วมทุนกับภาคเอกชนเวียดนามเพื่อกระจายความเสี่ยงและขยายฐานการผลิตในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องติดตามข้อมูลตลาด นโยบายชายแดน และแนวโน้มอุปสงค์ของจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการผลิตและส่งออกอย่างแม่นยำ ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐในการลดอุปสรรคทางการค้า เปิดช่องทางใหม่ และรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในระยะยาว

thThai