การล้มละลายของบริษัท Lilium ที่เป็นผู้บุกเบิกการบินและการถูกขายกิจการแบบฉุกเฉินให้กับจีนของบริษัท Volocopter (ให้บริการด้านแท็กซี่การบิน) ไม่ได้ทำให้นาย Ivor van Dartel หวั่นไหวแต่อย่างใด โดยเจ้าของและผู้ร่วมก่อตั้ง Vaeridion ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านเครื่องบินไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตอยู่ในเมืองมิวนิค กำลังมีแผนงานใหญ่โดยหวังที่จะสร้างเครื่องบินไฟฟ้า ขนาด 9 ที่นั่ง ขึ้นครั้งแรกภายในปี 2027 และจะจัดจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2030 ทั้งนี้ Van Dartel กล่าวว่า “เราจะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์” ซึ่งความสำเร็จนี้จะขึ้นอยู่กับว่า การทำงานของแบตเตอรี่จะได้รับการยอมรับและแพร่หลายมากขึ้นในอุตสาหกรรมการบินหรือไม่ จนถึงขณะนี้ การใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานในอุตสาหกรรมการบินมีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ผู้เชี่ยวชาญสงสัยว่า ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะทำให้มีการพัฒนาที่เร็วขึ้นได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ตลาด คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ตลาดเครื่องบินไฟฟ้าจะเติบโตถึงราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั่วโลก และปัจจุบันเครื่องบินเกือบทั้งหมดในทั่วโลกบินด้วยเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน (Jet Fuel) เป็นหลัก
- ใครอยู่เบื้องหลัง Vaeridion
ย้อนกลับไปในอดีต Vaeridion ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2021 โดยนาย Ivor van Dartel และนาย Sebastian Seemann ซึ่งปัจจุบัน Seemann ได้ถอนตัวออกไปแล้ว เหลือแต่ Van Dartel ที่เป็นวิศวกรอากาศยานและเคยทำงานให้กับบริษัทผลิตเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน อย่าง Airbus นอกจากนี้ Van Dartel ได้เปิดเผยว่า “ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-2019 เขาได้ตัดสินใจที่จะสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมา” ปัจจุบัน Vaeridion มีพนักงานทั้งหมด 60 คน ซึ่งกว่า 10 คน เคยทำงานให้กับ Lilium โดยปัจจุบันบริษัทฯ กำลังพัฒนาเครื่องบินไฟฟ้าที่สามารถรองรับผู้โดยสารขนาด 9 ที่นั่ง และสามารถบินได้ไกลประมาณ 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (หรือเครื่องบินสามารถบินระหว่างกรุงเบอร์ลิน – Bremen ได้) ซึ่งปกติแล้วหากเป็นการเดินทางในระยะทางสั้น ๆ โดยใช้เชื้อเพลิง Jet Fuel จะถือว่าเป็นเที่ยวบินส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงแรกบริษัทฯ ต้องการที่จะเน้นเดินทางไปยังเส้นทางอื่น ๆ ก่อน โดย Van Dartel กล่าวว่า “ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสำคัญ คือ การเข้าถึงสถานที่ที่ในปัจจุบันยังมีการเชื่อมต่อที่ดีนัก โดยอาจจะยังไม่มีสถานีรถไฟ ICE หรือบริการเครื่องบินเป็นประจำ” และเขาตั้งใจว่า ราคาตั๋วเครื่องบินควรจะมีความใกล้เคียงกับค่าตั๋วรถไฟชั้นหนึ่งในเยอรมนี โดยมีการวางแผนว่า เครื่องบินของ Vaeridion จะเป็นเครื่องบินที่สามารถขึ้นและลงจอดได้ตามปกติก่อน ซึ่งแตกต่างจากเครื่องบินแท็กซี่ทางอากาศ โดย Van Dartel เน้นย้ำว่า “เราเลือกที่จะผลิตเครื่องบินแบบดั้งเดิมที่มีผ่านการอนุมัติให้ใช้งานมานานแล้ว” ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างจาก บริษัท Volocopter ที่แม้จะใช้เวลากว่า 14 ปี ก็ยังคงรอการรับรอง/อนุมัติประเภทยานพาหนะอยู่ โดยนาย Uwe Horstmann นักลงทุนจากบริษัทการเงินร่วมลงทุน Project A ชื่นชมแนวคิดของ Vaeridion ว่า “แนวทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมนี้ จะทำให้ความเสี่ยงในการรับรองลดลงอย่างมาก และมีความรวดเร็วกว่าในการเตรียมพร้อมออกสู่ตลาด” โดยสัญญาที่เรียกว่า สัญญาก่อนการยื่นคำร้อง (PAC – Pre-Application Contract) ซึ่งบริษัท Vaeridion ได้ทำการสรุปร่วมกับสำนักงานความปลอดภัยทางการบินแห่งยุโรป (EASA) เกิดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อมีส่วนสนับสนุนและถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การอนุมัติในอนาคต สำหรับนักออกแบบของ Vaeridion เทคโนโลยีการขับเคลื่อนถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาต้องนำแบตเตอรี่ที่มีกำลังเทียบได้กับแบตเตอรี่ของรถบรรทุกไฟฟ้าแต่ไปใส่ไว้ในปีกทั้งสองข้างของเครื่องบิน แต่จะต้องไม่หนักเกินไป อีกทั้งต้องได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนสูงเกินไปในกรณีที่เกิดไฟไหม้ขึ้นมา
- นักลงทุนมีความเห็นอย่างไร
ตามข้อมูลของ Dealroom ผู้ให้บริการด้านข้อมูลจากเนเธอร์แลนด์เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ได้มีนักลงทุนให้เงินสนับสนุนกับบริษัทฯ เกือบ 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็น Venture Capital (VC) หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุนมาจาก Project A, Vsquared Ventures และ World Fund เป็นต้น ทั้งนี้ นาย Horstmann มองว่า Vaeridion กำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง “หากทีมงานของ Vaeridion สามารถบรรลุแผนงานได้ ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่ดีว่า ยุโรปสามารถเป็นผู้นำในด้านธุรกิจการบินที่ยั่งยืนได้อีกด้วย” นาง Daria Saharova จากบริษัท World Fund กล่าวว่าพร้อมอธิบายถึงความมุ่งมั่นของเธอว่า “เราคาดว่า ภายในปี 2040 อุปสงค์ในธุรกิจการบินจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า และเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องลดการสร้าง CO2 ในภาคส่วนธุรกิจนี้โดยด่วน” นาย Herbert Mangesius จาก Vsquared Ventures มีความหวังคล้ายกัน โดยเขายังเชื่อว่า Vaeridion น่าจะสามารถกลายเป็นผู้นำตลาดได้ ตามที่นาย Mangesius กล่าว ต้นทุนเริ่มต้นนั้นสามารถจัดการได้ “น่าจะต้องใช้เงินเพียง 50 ถึง 70 ล้านยูโร เท่านั้นในการบินรอบแรก ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่หาได้ง่ายในโลกแห่งการร่วมทุน” บางทีพันธมิตรในภาคอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง ซึ่ง Vaeridion สนิทสนมในระดับหนึ่งก็อาจจะสามารถช่วยเหลือเรื่องดังกล่าวได้เช่นกัน ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ร่วมงานกับผู้นำด้านอุตสาหกรรมอย่าง Bosch และ GKN Aerospace และบริษัทอื่น ๆ เป็นจำนวนมากแล้ว
- แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปและในปัจจุบันคู่แข่งอยู่ไหนแล้ว
Van Dartel ประกาศว่า “ภายในสิ้นปีนี้ เราจะทดสอบระบบขับเคลื่อนภาคพื้นดินในห้องปฏิบัติการก่อน และจะทำการทดสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนในห้องปฏิบัติการอีก” ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับเที่ยวบินแรก ที่วางแผนไว้ในช่วงปลายปี 2027 แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีและการประกอบที่ซับซ้อน แต่ Van Dartel ก็ต้องการทำทุกอย่างด้วยตัวเองให้มากที่สุด โดยกล่าวว่า “เรากำลังออกแบบเครื่องบินและวางแผนที่จะประกอบเครื่องบินทั้งลำ รวมถึงดำเนินการประกอบขั้นสุดท้ายในรัฐ Bayern” นอกจากนี้ Vaeridion ยังต้องการผลิตแผงแบตเตอรี่ (Battery Modules) เองอีกด้วย ตามที่นาย Horstmann กล่าวไว้ว่า “ความมุ่งมั่นและการมีใจของ Vaeridion ที่มีต่อยุโรปเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมที่สุด” อย่างเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หนึ่งในคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ Vaeridion อย่าง Heart Aerospace จากสวีเดนประกาศว่า จะย้ายสำนักงานใหญ่ไปไว้ที่เมือง Los Angeles และยุติการดำเนินงานทั้งหมดในสวีเดน และเที่ยวบินแรกของเครื่องบินไฮบริดมีแผนจะเริ่มบินปีนี้ในสหรัฐฯ แทน ส่วนบริษัท Electra Aero ซึ่งเป็นคู่แข่งจากสหรัฐฯ ที่สามารถระดมทุนได้ราว ๆ 115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนักลงทุนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็อาศัยระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดเช่นกัน เหตุผลหนึ่งที่มีการลงทุนสูงขนาดนี้อาจเป็นเพราะบริษัทมียอดสั่งซื้อล่วงหน้าเป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐแล้วด้วย
จาก Handelsblatt 2 มิถุนายน 2568