อุตสาหกรรมทุเรียนของเวียดนามกำลังเผชิญกับความกังวลและท้าท้าย หลังจีนประกาศใช้นโยบายตรวจสอบใหม่ ส่งผลให้การส่งออกทุเรียนลดลงอย่างรุนแรง จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรเวียดนาม ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-เมษายน) เวียดนามส่งออกทุเรียนไปยังจีนได้เพียง 35,000 ตัน ซึ่งลดลงถึง 50% YoY
สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรในแหล่งผลิตหลักอย่างสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม ราคาซื้อทุเรียนพันธุ์ Ri6 คุณภาพดี ตกลงมาเหลือเพียง 50,000 ดองเวียดนามต่อกิโลกรัม (ประมาณ 14 บาท) หรือลดลงครึ่งหนึ่ง เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในจังหวัดด่งนายรายให้ความเห็นว่า “ตอนนี้เก็บทุเรียนก็ขาดทุนแล้ว แต่ถ้าไม่เก็บก็ยิ่งขาดทุนหนักกว่าเดิม”
ตั้งแต่ต้นปี2025 จีนได้เริ่มบังคับใช้มาตรการตรวจการปนเปื้อน สารแคดเมียม และ Basic Yellow 2 หรือ BY2 ในทุเรียนอย่างเข้มงวด โดยให้ตรวจสอบทุเรียนนำเข้าทุกตู้คอนเทนเนอร์ มาตรฐานการกักกันที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้ส่งออกทุเรียนเวียดนามตั้งตัวไม่ทัน ผู้ค้าผลไม้รายหนึ่งในนครโฮจิมินห์กล่าวว่า “เมื่อก่อนทุเรียนจะถูกสุ่มตรวจแค่ 10-20% เท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกตู้คอนเทนเนอร์ต้องถูกตรวจสอบทั้งหมด ทำให้เวลาในการผ่านพิธีการศุลกากรจาก 3 วัน ยืดเยื้อไปถึง 10 วัน ทุเรียนจำนวนมากจึงเริ่มเน่าเสียก่อนที่จะไปถึงจีน” จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลจากชาวสวนทุเรียนเวียดนาม เนื่องจากผู้นำเข้าชาวจีนจำนวนมากกำลังเปลี่ยนคำสั่งซื้อไปยังคู่แข่งอย่างประเทศไทย มีรายงานว่าในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศไทยส่งออกทุเรียนไปจีนได้ถึง 71,000 ตัน ซึ่งมากกว่าเวียดนามถึงสองเท่า และมีราคาที่มั่นคงกว่า
เวียดนามหันมองไทยเป็นแบบอย่างในการแก้ไขวิกฤตทุเรียน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ กระทรวงเกษตรของเวียดนามได้เริ่มให้ความสนใจประเทศไทยเพื่อถอดบทเรียน หวังนำประสบการณ์มาปรับใช้ นายดัง ฟุก เหงียน เลขาธิการสมาคมผักและผลไม้เวียดนามยอมรับว่า ทุเรียนไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างแม่นยำถึงต้นทุเรียนแต่ละต้น ตั้งแต่สวนไปจนถึงคลังสินค้า ขณะที่เวียดนามสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เพียงโรงบรรจุเท่านั้น ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าจากทุเรียนไทยที่ส่งออกไปจีนเฉลี่ยวันละ 500 ตู้คอนเทนเนอร์ มีอัตราการถูกตีกลับไม่ถึง 1% ความน่าเชื่อถือนี้ทำให้ศุลกากรจีนใช้กฎระเบียบที่แตกต่างกันสำหรับทุเรียนไทย โดยลดสัดส่วนการสุ่มตรวจ และเปิดช่องทางพิเศษในการตรวจสอบ ในทางตรงกันข้าม กระบวนการอนุมัติการส่งออกทุเรียนของเวียดนามยังคงมีความยุ่งยากอยู่
มาตรการของเวียดนามเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมทุเรียน
เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ กระทรวงเกษตรเวียดนามพยายามใช้มาตรการหลายด้าน โดยเริ่มโครงการนำร่องการผสมเกสรด้วยโดรนและเทคโนโลยีคัดแยกอัจฉริยะในจังหวัดลองอัน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ทุเรียนแช่แข็งและทุเรียนอบแห้ง พร้อมทั้งขยายตลาดใหม่ๆ เช่น เกาหลีใต้และตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ยากที่จะชดเชยการสูญเสียในตลาดจีนได้ในระยะสั้น
มีรายงานว่าเวียดนามกำลังเร่งดำเนินการรับรองรหัสพื้นที่เพาะปลูกทุเรียน นำร่องระบบในการตรวจสอบย้อนกลับด้วยบล็อกเชน เพื่อสร้างระบบควบคุมคุณภาพตั้งแต่การปลูกจนถึงการส่งออก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรเวียดนามยังได้ จัดสรรงบประมาณฉุกเฉิน 300,000 ล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 380 ล้านบาท) เพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเชื่อว่าหากเวียดนามต้องการหลุดพ้นจากความยากลำบากและประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระบบควบคุมคุณภาพ
ทุเรียนเวียดนามกว่า1,200ตัน ส่งตรงจากเวียดนามสู่ท่าเรือเซี่ยเหมิน
ทุเรียนซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อเร่งการขนส่งผลไม้ที่มีมูลค่าสูงนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ท่าเรือเซี่ยเหมินได้เปิดตัวเส้นทางเดินเรือนำเข้าทุเรียนสายตรงสายแรกของมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งช่วยลดเวลาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนามมายังเซี่ยเหมินได้ครึ่งหนึ่ง ปัจจุบัน เส้นทางพิเศษนี้บรรทุกทุเรียนไปแล้วกว่า 1,200 ตัน
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม เวลาประมาณ 17:00 น. เรือขนส่งสินค้า “Haifeng Nagoya” ได้เดินทางตรงจากเวียดนามมาถึงท่าเทียบเรือHaitian ท่าเรือเซี่ยเหมิน หลังจากเดินทางมานานกว่า 50 ชั่วโมง เรือลำนี้บรรทุกทุเรียนรวม 29 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นน้ำหนัก 536 ตัน หลังจากที่ศุลกากร Dongdu ของเซี่ยเหมินได้ตรวจสอบและอนุญาตแล้ว ทุเรียนชุดนี้จะถูกส่งต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
จีนเป็นตลาดผู้บริโภคหลักสำหรับผลไม้เขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยเส้นทางเดินเรือที่หนาแน่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เซี่ยเหมินจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าผลไม้เขตร้อน เช่น ทุเรียน ในฐานะสินค้าที่มีมูลค่าสูง ทุเรียนมีความต้องการสูงในด้านระยะเวลาการขนส่งและการเก็บรักษาเพื่อรักษาความสดใหม่ถึงมือผู้บริโภคจีน
โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการเขตการค้าเสรีเซี่ยเหมิน (Xiamen Free Trade Zone) ร่วมกับท่าเรือและบริษัทเดินเรือหลายฝ่าย เปิดตัวเส้นทางเดินเรือนำเข้าทุเรียนสายตรง สายแรกของมณฑลฝูเจี้ยน ลดเวลาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนามมายังเซี่ยเหมินได้ครึ่งหนึ่ง ท่าเรือเซี่ยเหมินยังได้เปิดช่องทางพิเศษ และเร่งการตรวจสอบทุเรียนนำเข้าในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้แน่ใจว่าห่วงโซ่ความเย็นของทุเรียนไม่ขาดตอนและคุณภาพไม่ลดลง นับตั้งแต่เปิดดำเนินการในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เส้นทางเดินเรือนำเข้าทุเรียนสายนี้ได้ขนส่งทุเรียนเวียดนามไปแล้ว 1,294 ตัน
เวียดนามมีการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก มูลค่าการส่งออกทุเรียนไปยังจีนพุ่งสูงขึ้นจาก 188.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 เป็น 2,127.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 และเพิ่มเป็น 2,939.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 สัดส่วนการนำเข้าของจีนจากเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 4.66% ในปี 2022 เป็น 31.76% ในปี 2023 และเพิ่มเป็น 42.04% ในปี 2024 โดยมีอัตราการเติบโตระหว่างปี 2023-2024 อยู่ที่ 38.19% แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดทุเรียนเวียดนามในจีน
ในขณะเดียวกันฟิลิปปินส์เริ่มมีบทบาทในปี 2023 ด้วยมูลค่า 13.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มเป็น 32.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 สัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 0.20% เป็น 0.46% และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 143.84% มาเลเซียเริ่มมีมูลค่าการนำเข้า 5.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 โดยมีสัดส่วน 0.08%
ตลาดทุเรียนจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การนำเข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยจีนกำลังกระจายแหล่งนำเข้าอย่างชัดเจน เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักที่แข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก จนสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศไทยไปได้มาก ในขณะที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซียเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้มากขึ้น
มูลค่าการนำเข้าทุเรียนรวมของจีนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2025 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,091.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2024 เหลือเพียง 533.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน 4 เดือนแรกของปี 2025 อัตราการเติบโตลดลงถึง 49.32% YoY อันเป็นผลมาจากการความเข้มงวดในการตรวจสารคดเมียมและ BY2 ในทุเรียนนำเข้าอย่างเข้มงวด
ทุเรียนไทยรับมือกับผลกระทบหลายด้าน
โดยอุตสาหกรรมทุเรียนไม่เพียงต้องรับมือกับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรงและต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังต้องประสบกับ ผลกระทบสงครามราคาทุเรียน และการสวมสิทธิ์ทุเรียนไทย
วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า แม้ทุเรียนไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพ รสชาติ และการตลาด ผู้บริโภคชาวจีนยอมรับทุเรียนหมอนทองของไทยมากกว่าสินค้าจากเวียดนามอย่างมาก และเวียดนามเองก็ประสบปัญหาด้านความปลอดภัยของอาหารอยู่หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความกังวลว่า นักลงทุนต่างชาติบางรายที่เข้ามาลงทุนสวนทุเรียนในไทยในรูปแบบ “นอมินี” หรือ บุคคลผู้เป็นตัวแทนในการถือหุ้นหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช้เจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งอาจละทิ้งมาตรฐานคุณภาพเพื่อแสวงหากำไร
ผู้ประกอบการสวนทุเรียนรายหนึ่งในจังหวัดจันทบุรีของประเทศไทย เปิดเผยว่าทุเรียนไทยกำลังเผชิญกับ สงครามราคา จากเวียดนาม โดยทุเรียนเวียดนามมีราคาถูกกว่ามาก ต้นทุนการผลิตเพียงกิโลกรัมละ 19 บาท ในขณะที่ทุเรียนไทยมีต้นทุนอย่างน้อย 40 บาท นอกจากนี้เวียดนามยังมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้กับจีน ทำให้สามารถจัดส่งทุเรียนถึงตลาดจีนได้ภายใน 3 ชั่วโมง และการสวมสิทธิ์ แหล่งกำเนิดสินค้าไทยของทุเรียนเวียดนามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดทุเรียนไทย
ความเห็นสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน: มูลค่าการนำเข้าทุเรียนรวมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 4,032.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 เป็น 6,699.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 และเป็น 6,992.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 แสดงให้เห็นถึงความต้องการทุเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดจีน โดยในปี 2024 จีนยังคงนำเข้าทุเรียนจากไทยเป็นอันดับ 1 มีมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 4,014.35 ล้านหยวน คิดเป็นสัดส่วน 57.41% ของจีนนำเข้าทั้งหมด รองลงมาคือเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย โดยจีนนำเข้าทุเรียนจากประเทศดังกล่าว มีมูลค่าอยู่ที่ 2,939.96 32.45 และ 5.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ และมีสัดส่วนการนำเข้าอยู่ที่ร้อยละ 42.02% 0.46 และ 0.08 โดยราคาทุเรียนไทยในตลาดเซี่ยเหมิน มีราคาอยู่ที่ประมาณ 25-40 หยวน/500กรัม(หรือประมาณ 125-200 บาท/500กรัม) ซึ่งราคาลดลงจากช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จากประมาณ 29.9 หยวน ต่อ/500กรัม (หรือประมาณ 149.5 บาท/500กรัม)
ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากเวียดนาม ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพสูงในตลาดทุเรียนจีน การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของทุเรียนไทยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ การพิจารณาการกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากจีนอาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีในระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว โดยสรุปแล้ว ตลาดทุเรียนจีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่และสำคัญ แต่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างและผู้เล่นหลัก ไทยจำเป็นต้องปรับตัว รักษาคุณภาพสินค้า และพัฒนากลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ตลอดจนหาตลาดใหม่เพื่อกระจายตลาดไปยังตลาดอื่น ลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงตลาดเดียว
https://www.xmtv.cn/xmtv/2025-05-17/7d85c12d7793ac27.html
https://mp.weixin.qq.com/s/EUrhFLuprgjiRzd5WmMkxw
https://mp.weixin.qq.com/s/Z_Vl3TAhVEc2FuVw45_QqA
Global Trade Atlas
เรียบเรียงโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน
30 พฤษภาคม 2568