ตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯ

เว็บไซต์ globenewswire ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ (press release distribution) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่าในปี 2567 ตลาดน้ำหอมหรูทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 2.43 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และภายในปี 2576 มีแนวโน้มที่มูลค่าผลิตภัณฑ์นี้จะเติบโตขึ้นอยู่ที่ประมาณ 4.58 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 7.7

ตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯ

โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือครองส่วนแบ่งตลาดน้ำหอมหรูมากที่สุด ประมาณร้อยละ 36.8 โดยในปี 2567 มูลค่าตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯมีมูลค่าประมาณ 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าภายในปี 2576 จะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 6.9 หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 13.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ประเทศสหรัฐฯ นับเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำหอมหรูระดับโลก อีกทั้งยังเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญของน้ำหอมหรูทั่วโลก เนื่องจากผู้บริโภคชาวอเมริกันนั้นมีรายได้ต่อหัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญคอยคิดค้นนวัตกรรมผลิตใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อรสนิยม และรองรับความต้องการของชาวอเมริกัน ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์ดังระดับโลก

ตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดน้ำหอมหรูในสหรัฐฯ คือ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวอเมริกัน เนื่องจากชาวอเมริกันตระหนักถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากสารเคมีสังเคราะห์ ตลอดจนให้ความสำคัญในรื่องของความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับ “ความงามที่ปลอดภัย (Clean Beauty)” เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นในการใช้ส่วนผสมที่ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้บริโภคชาวอเมริกันเห็นว่าน้ำหอมหรูที่มีส่วนประกอบจากพืชหรือธรรมชาตินั้นเป็นมีความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อผิวหนัง ชาวอเมริกันจึงให้ความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์ที่มีการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ส่งผลบริษัทผู้ผลิตหลายแห่งได้ทำการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้มีส่วนผสมจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งลดการใช้สารเคมี ประกอบกับมีการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ อาทิ ECOCERT COSMOS และ USDA Organic ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค

ปัจจัยต่อมา คือ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของน้ำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ (Customization & Personalization) เนื่องจากชาวอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญกับน้ำหอมหรูที่สามารถสะท้อนตัวตน ความชอบ และไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคลได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การที่บริษัทผู้ผลิตนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภคแต่ละบุคคล (bespoke perfume) หรือการที่ผู้บริโภคสามารถร่วมออกแบบกลิ่นน้ำหอมได้ด้วยตนเอง รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบไม่ซ้ำใครนั้นช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษ และความเป็นเจ้าของเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งประการ คือ อิทธิพลสื่อออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล อาทิ Instagram TikTok และ YouTube นั้นกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทางการตลาดที่ทำให้แบรนด์น้ำหอมหรูสามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ในวงกว้างผ่านทางรูปภาพ คลิปสั้น และวิดีโอ เป็นต้น นอกจากนี้แบรนด์ดังหลายแบรนด์ยังเลือกที่จะประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ตลาดน้ำหอมหรูในประเทศสหรัฐฯ

โดยประเภทของน้ำหอมหรู สามารถแบ่งได้ ดังนี้

  1. Parfum หรือ Pure Perfume คือ น้ำหอมที่มีความเข้มข้นมากที่สุด โดยมีหัวน้ำหอมผสมอยู่สูงถึงร้อยละ
    20-40 ส่งผลให้กลิ่นหอมติดทนยาวนานตลอดวัน โดยน้ำหอมประเภท Parfum เป็นน้ำหอมที่มีมูลตลาดมากที่สุดในประเทศสหรัฐฯ ประมาณ ร้อยละ 33.5
  2. Eau de Parfum หรือ EDP คือ น้ำหอมที่มีความเข้มข้นรองลงมาจาก Parfum โดยมีหัวน้ำหอมประมาณร้อยละ 15-20 กลิ่นจะติดทนประมาณ 4-6 ชั่วโมง
  3. Eau de Toilette หรือ EDT คือ น้ำหอมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีหัวน้ำหอมประมาณร้อยละ 5-15
    ซึ่งกลิ่นจะเบาบางกว่าน้ำหอมประเภท EDP และติดทนประมาณ 2-4 ชั่วโมง
  4. Eau de Cologne หรือ EDC คือ น้ำหอมที่มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอมร้อยละ 2-4 กลิ่นจะบางเบา สดชื่น
    และติดทนไม่เกิน 2 ชั่วโมง
  5. Eau Fraiche คือ น้ำหอมที่มีหัวน้ำหอมน้อยที่สุด ประมาณร้อยละ 1-3 ซึ่งใกล้เคียงกับน้ำหอมประเภท EDC
    แต่จะมีความสดชื่นมากกว่า และมักจะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

สำหรับบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญของน้ำหอมหรู ได้แก่ บริษัท Colgate-Palmolive บริษัท Procter & Gamble
บริษัท L’Oréal บริษัท The Estée Lauder Companies บริษัท Coty บริษัท Beiersdorf บริษัท Unilever บริษัท LVMH บริษัท Natura Cosmeticos บริษัท Chanel บริษัท Henkel และบริษัท Puig เป็นต้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดน้ำหอมหรูมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัด และอุปสรรคสำคัญ 2 ประการหลัก ดังนี้

ประการแรก คือ ต้นทุนการผลิตที่สูง เนื่องจากน้ำหอมหรูมักใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงที่หาได้ยาก หรือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีความบริสุทธิ์สูง ประกอบกับกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทาง รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความหรูหรา และซับซ้อน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้น

ประการที่สอง คือ ข้อกำหนดด้านกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับ โดยเฉพาะในตลาดในประเทศในทวีปยุโรป และประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การควบคุมการใช้สารก่อภูมิแพ้หรือสารที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องแบกรับต้นทุนในการทดสอบความปลอดภัย การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการดำเนินการตามกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้สามารถวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ความคิดเห็นของสคต.นิวยอร์ก

ผู้บริโภคชาวอเมริกันให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดน้ำหอมหรูต่อสิ่งแวดล้อมมีการแข่งขันสูง บริษัทผู้ผลิตหลายรายต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ความโดดเด่น ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด

จะเห็นได้ว่าแนวโน้มผู้บริโภคในสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อน้ำหอมหรูโดยตรง ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนศึกษาแนวโน้มตลาดและกลุ่มเป้าหมายอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งวางแผนการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา: www.globenewswire.com

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

thThai