ปัจจุบัน ประเทศจีนได้มีการประกาศใช้ “ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นดัชนีที่โฟกัสเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ข้อมูลระบุว่า ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของจีนเดือนมีนาคม ปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายเดือนและรายปี โดยดัชนีราคารายเดือนเป็น 107.2 เพิ่มขึ้น 7.2% (MoM) และดัชนีราคารายปีเป็น 105.2 เพิ่มขึ้น 5.2 (YoY) แสดงให้เห็นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนการยกระดับการบริโภค และกำลังหลอมรวมเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวจีนอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่อาหาร เครื่องสำอาง สินค้าเพื่อสุขภาพ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือย โดยประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้านั้นครอบคลุมทุกด้านในการใช้ชีวิต และมีอิทธิพลต่อการปรับปรุงโครงสร้างการบริโภคและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
-
-
- ความสำคัญของการขยายการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค
-
ในบริบทของเศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์ การส่งเสริมขยายการนำเข้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับการบริโภค การบูรณาการเข้ากับห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั่วโลก รวมถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านอุปทาน ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การเติบโตของสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดภายในประเทศ และเป็นผลมาจากการยกระดับการบริโภค
การขยายการนำเข้าได้ขยับขึ้นมาเป็นกลยุทธ์ระดับชาติของจีน ในช่วงที่ผ่านมา การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งปัจจุบัน จีนได้จัดงานแสดงสินค้า China International Import Expo (CIIE) อย่างต่อเนื่องมาแล้ว 7 ครั้ง อีกทั้งมีการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 30 ประเทศ/ภูมิภาค รวมแล้ว 23 ฉบับ ตลอดจนจัดตั้งเขตนำร่องสำหรับการส่งเสริมนวัตกรรมการค้านำเข้า 43 แห่งทั่วประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทดลงใช้นโยบายใหม่ ๆ เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการนำเข้า ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Blockchian AI ระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนการนำเข้าแบบ CBEC
จากสถิติศุลกากร ปี 2567 ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าของจีนสูงถึง 18.39 ล้านล้าน ครองอันดับสองของโลกติดต่อกัน 16 ปี นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ตลาดการบริโภคของจีนมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน เป็นต้น ซึ่งในเดือนธันวาคมของปี 2567 ที่ผ่านมา มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนสูงถึง 1.68 แสนล้านหยวน นับว่าเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 21 เดือน
การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทำให้อุปทานในประเทศเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ตอบสนองความต้องการในด้านการบริโภคของกลุ่มประชากรที่ทั้งมีความปัจเจก ความหลากหลาย และความต้องการต่อสินค้าคุณภาพดี ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยปลูกฝังความต้องการใหม่ ๆ จากผู้บริโภคภายในประเทศ กระตุ้นศักยภาพในการบริโภคใหม่ ๆ ทำให้เกิดวงจรที่เกื้อกูลกันโดยใช้อุปสงค์นำไปสู่นวัตกรรม และใช้นวัตกรรมนำไปสู่อุปทาน
การนำเข้าสินค้ามีส่วนช่วยในการวางแนวทางการพัฒนาแบบ “วงจรคู่” คือส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศควบคู่กันไป จีนจึงได้เร่งปรับปรุงนโยบายทางการค้าให้มีความเสรีและสอดคล้องกับระเบียบการค้าระหว่างประเทศ ขจัดอุปสรรคเชิงระบบของตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในอนาคต การขยายการนำเข้าสินค้า จะช่วยส่งเสริมให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงของจีนกับตลาดต่างประเทศได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การเกื้อกูลกันระหว่างอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศในระยะยาว
-
-
- CBEC กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การเติบโต
-
ที่ผ่านมา ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ของจีน ไม่ได้จัดให้สินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าเป็นหมวดหมู่ที่มีการติดตามแบบเอกเทศ ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้ากลุ่มนี้ถูกกลืนอยู่ในข้อมูลโดยรวม ไม่สามารถสะท้อนลักษณะเด่นเชิงพลวัตของตัวแปรในตลาดนี้แยกออกมาได้อย่างชัดเจน ภายใต้บริบทที่สถานการณ์การค้ามีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้ามีความผันผวนบ่อยครั้ง การจัดทำดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของประเทศหนึ่ง ได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายโดยองค์กรระหว่างประเทศ หรือประเทศต่าง ๆ เช่น ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ซึ่งดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของจีน รวบรวมโดยอิงจากราคารวม CIF (ต้นทุน+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่ง) และปริมาณสินค้านำเข้าที่บันทึกโดยศุลการกร ผ่านโครงสร้างที่มีระบบซึ่งครอบคลุมสินค้า 7 หมวดหมู่หลักและการแยกประเภทตาม HS Code จำนวน 1,831 รายการ เพื่อสร้างมุมมองแบบองค์รวมที่ครอบคลุมการบริโภคทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ อาหาร เครื่องแต่งกาย ที่พักอาศัย ข้าวของเครื่องใช้ การเดินทาง และความบันเทิง เป็นการเติมเต็มช่องว่างในการติดตามราคาตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของจีน และเป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญสำหรับการวางนโยบาย การวิจัยในสถาบันระดับอุดมศึกษา ตลอดจนการบริโภคในตลาด
จากดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของจีนในช่วงแรก พบว่า สินค้าประเภท “เครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ และความบันเทิง” ราคาปรับตัวสูงขึ้น ส่วน “อาหาร ที่พักอาศัย การเดินทาง” ราคาปรับตัวลง เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบต้นน้ำและการบริโภคตามฤดูกาล โดยสินค้าประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า หมวก และเครื่องประดับมีดัชนีราคาสูงขึ้น 7.8% (MoM) ส่วนสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผัก ผลไม้ ธัญพืช น้ำมัน บุหรี่ สุรา และเครื่องดื่มต่าง ๆ มีดัชนีราคาลดลง 2.2% (MoM)
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ราคาสินค้าประเภทสิ่งทอมีความผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหลัก ๆ ได้รับผลกระทบมาจากราคาฝ้ายในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ดันราคาต้นทุนสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสภาพอากาศที่เริ่มอบอุ่นขึ้น อุปทานในตลาดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทอาหารสดและผักผลไม้ เมื่อออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ราคาจึงร่วงกลับลงมา นอกจากนี้ ภายใต้การดำเนินการนโยบายอย่างแข็งขันของภาครัฐจีน อาทิ นโยบายเก่าแลกใหม่ (Trade in) นโยบายเร่งผลักดันการทดแทนการนำเข้า เป็นต้น ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ร่วงหนัก สะท้อนให้เห็นโดยทางอ้อมว่าแบรนด์ท้องถิ่นของจีนได้ขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้นและได้ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของสินค้า
สิ่งที่น่าจับตามองคือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ทั่วโลกได้เร่งปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรม ห่วงโซ่อุปทาน ห่วงโซ่การบริการ และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) โดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross-border E-commerce: CBEC) เป็นตัวแทนโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ที่ผลักดันให้การค้าระหว่างประเทศเติบโต ปี 2567 การนำเข้า-ส่งออกผ่าน CBEC ของจีนมีการเติบโต 10.8% ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 6% ของการนำเข้า-ส่งออกทั้งหมด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีเข้าถึงผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้นและสะดวกขึ้น ซึ่งการนำเข้าผ่าน CBEC นั้นยังคงเติบโตเร็วกว่าการนำเข้าโดยรวมอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา คณะมนตรีรัฐกิจของจีนได้อนุมัติการจัดตั้งเขตนำร่อง CBEC แบบครบวงจรใน 15 เมือง (เขต) ทั่วทั้งเกาะไห่หนาน (ไหหลำ) รวมถึงเกาะฉินหวง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ในฐานะที่เป็นแนวหน้าของการปฏิรูปและเปิดเสรีเชิงลึกในทุกด้าน เมืองท่าการค้าเสรีไห่หนานได้มีการดำเนินนโยบายต่าง ๆ อาทิ “ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์” “ลดภาษีนำเข้า 30% สำหรับสินค้าแปรรูปเพิ่มมูลค่า” เป็นต้น การเพิ่มบทบาทหน้าที่เขตนำร่อง CBEC แบบครบวงจรในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำฐานะของ ไห่หนานที่มีตำแหน่งเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงจีนกับตลาดอาเซียนไปอีกขั้น โดยเฉพาะการมอบพื้นที่ทดลองอันยอดเยี่ยมเพื่อปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของสินค้านำเข้า โดยผ่านนวัตกรรมโมเดล “Bonded Warehouse + CBEC” ไห่หนานมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นศูนย์กลางและเวทีใหม่ของการนำเข้าผ่าน CBEC ในระดับโลก จากการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
-
-
- จากการขยายตัวเชิงปริมาณสู่การยกระดับเชิงคุณภาพ
-
ในไตรมาสแรกของปี 2568 ยอดการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของจีนมีมูลค่า 4.17 ล้านล้านหยวน แม้ว่าขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงทรงตัว ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า ในขณะที่การนำเข้าค่อย ๆ ฟื้นตัว ก็เห็นได้ว่าความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนจากแง่ “ปริมาณ” ไปสู่แง่ “คุณภาพ” ส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็ว
ความต้องการสินค้าในแต่ละหมวดหมู่มีความแตกต่างกันมากขึ้น สินค้าจำเป็นในการดำรงชีพและการบริโภคระดับไฮเอนด์ได้ประกอบกันกลายเป็น “แรงขับเคลื่อนสองล้อ” ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า จากข้อมูลสถิติบางส่วนพบว่า การนำเข้าสินค้าพื้นฐาน เช่น เนื้อสัตว์ ผลไม้ เป็นต้น ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 8% ส่วนการนำเข้าสินค้าไฮเอนด์ เช่น อุปกรณ์เสริมความงามทางการแพทย์ ผลงานศิลปะ เป็นต้น มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate: CAGR) สูงกว่า 25% ยกตัวอย่างเช่น ตลาดสินค้าแม่และเด็ก การนำเข้าสินค้าประเภทนมผงออร์แกนิกจากยุโรปและอาหารเสริมสำหรับเด็กแพ้ง่ายจากญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดไฮเอนด์มากกว่า 40% ตามข้อมูลจาก Sanya International Duty Free City อัตราการซื้อซ้ำของอุปกรณ์เสริมความงามที่มีราคาเกิน 5,000 หยวน ต่อชิ้น ยังคงมีการเติบโตในระดับเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง
เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาปฏิรูประบบนิเวศทางการค้า ทำให้เกิดการบริโภครูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง และประสิทธิภาพทางการค้าก็ได้รับปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีกขั้น ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น JDWorldwide Taobao เป็นต้น ได้อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างระบบนิเวศใหม่สำหรับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ครอบคลุมหลายหมวดหมู่สินค้าและบริหารดำเนินงานอย่างแม่นยำโดยใช้ระบบ Push เพื่อชี้นำผู้บริโภคให้เปลี่ยนพฤติกรรมจาก “การบริโภคสินค้านำเข้าเพราะเป็นของหายาก” สู่ “การบริโภคสินค้านำเข้าเพื่อลงทุนในด้านคุณภาพชีวิต” และในขณะเดียวกันก็ทำให้การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคมีประสิทธิภาพและมีความสะดวกมากขึ้นโดยผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ “คลังสินค้าทัณฑ์บน” (Bonded Warehouse) “คลังสินค้าล่วงหน้า” (Preposition Warehouse) เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีมานี้การนำเข้าสินค้าจากตลาดสหรัฐฯ จะลดลง แต่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลางได้กลายเป็นขั้วการเติบโตใหม่ของตลาดนำเข้าของจีน ปัจจุบัน อัตราภาษีศุลกากรของจีนโดยรวมลดลงจาก 9.8% ในปี 2010 เหลือ 7.3% ในปี 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องด้วยการดำเนินความตกลง RCEP อย่างเป็นรูปธรรม จึงผลักดันให้มีการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอาเซียน นอกจากนี้ รายการอนุญาตสินค้านำเข้าผ่าน CBEC ได้ขยายเพิ่มเป็น 1,476 รายการ ระยะเวลาในการอนุมัติการขออนุญาตนำเข้าลดลง 60% การปฏิรูประบบเหล่านี้ ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง และทำให้ผู้บริโภคชาวจีนได้รับประโยชน์มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าจากการขยายตัวเชิงปริมาณไปสู่การยกระดับเชิงคุณภาพ ไม่เพียงเป็นความต้องการจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวเลือกที่จำเป็นสำหรับการยกระดับความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย ปีนี้การนำเข้าของจีนยังคงมีพื้นที่ในการเติบโตเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่ มีหลายระดับ และแฝงด้วยศักยภาพมหาศาลเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ จีนมุ่งมั่นที่จะขยายการนำเข้าในเชิงรุก แบ่งปันโอกาสที่มาจากการพัฒนาของจีนแก่ทั่วโลกอีกด้วย ในปี 2573 การนำเข้าสะสมที่มาจากประเทศกำลังพัฒนาเพียงอย่างเดียวคาดกว่าจะเกิน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดขนาดใหญ่อย่างจีนจะเปิดโอกาสและทางเลือกอีกมากมายให้แก่ตลาดโลก
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทย
ปัจจุบัน ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้าของจีนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผู้บริโภคชาวจีนหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ดังนั้น สินค้าไทยจึงยังคงมีพื้นที่และโอกาสที่จะเติบโตในตลาดจีนได้ โดยเฉพาะสินค้าในระดับไฮเอนด์
สินค้าไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกสู่ตลาดจีนนั้นมีหลายกลุ่มสินค้า อาทิ สินค้าอาหาร สินค้าเกษตรอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม สินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม อาหารออร์แกนิก บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก (ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Carbon Neutrality ของจีน) เป็นต้น ผู้ประกอบการไทยควรคว้าโอกาสในช่วงเวลานี้ในการขยายการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดจีน
ในด้านกลยุทธ์การตลาด ผู้ประกอบการควรพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้มีอัตลักษณ์ มีความโดดเด่นเป็นที่น่าจดจำกว่าคู่แข่ง และตรงกับรสนิยมของชาวจีนตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงควรติดตามเทรนด์ตลาดจีนอย่างสม่ำเสมอ หรือเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในจีนเพื่อสำรวจตลาด นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลก็เป็นกุญแจสำคัญในการเจาะตลาดจีนในยุคสมัยนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม CBEC/Live Streaming การวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคผ่าน Big Data การประชาสัมพันธ์สินค้าบน Social Media ร่วมมือกับ KOL ที่มีชื่อเสียงในจีน หรือหาพาร์ตเนอร์จีนที่มีศักยภาพในการจัดการระบบโลจิสติกส์และคลังสินค้า
อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนยังคงเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากความตกลงทางการค้า FTA และ RCEP เช่นเดียวกับไทย ดังนั้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและคงความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทย ผู้ประกอบการไทยจึงควรรักษาคุณภาพสินค้า และมาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนปฏิบัติตามระเบียบการนำเข้าของจีนอย่างเคร่งครัด
ที่มา:
http://paper.ce.cn/pc/content/202505/14/content_313689.html
จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว
30 พฤษภาคม 2568