ศาลสหรัฐฯ เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตจึงสั่งห้ามบังคับใช้คำสั่งบริหารเรื่องภาษีศุลกากร

*** ล่าสุดในวันรุ่งขึ้นภายหลังการยื่นอุทธรณ์โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ ดังนี้ ***

ศาลอุทธรณ์ยอมให้ภาษีศุลกากรโดยประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีการบังคับใช้อยู่

อ้างอิงจากข่าวโดย Reuters https://www.reuters.com/business/us-ruling-that-trump-tariffs-are-unlawful-stirs-relief-uncertainty-2025-05-29/

    1. ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ตัดสินเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินในการกำหนดภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้า และสั่งระงับการบังคับใช้ทันที
    2. ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ให้ระงับคำตัดสินของศาลการค้า เพื่อพิจารณาการอุทธรณ์ของรัฐบาล โดยกำหนดให้โจทก์ตอบคำร้องภายในวันที่ 5 มิถุนายน และฝ่ายบริหารภายในวันที่ 9 มิถุนายน
    3. คำตัดสินของศาลการค้าสร้างความไม่แน่นอนต่อการเจรจาการค้าและปฏิกิริยาของตลาด โดยดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 4 แต่นักลงทุนยังระมัดระวังเนื่องจากคาดว่ากระบวนการอุทธรณ์จะยืดเยื้อ
    4. ภาษีศุลกากรบางประเภท เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ซึ่งกำหนดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ยังคงมีผลบังคับใช้ เนื่องจากไม่อยู่ภายใต้คำตัดสินนี้
    5. ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของภาษีศุลกากร ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียกว่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจทำให้ประเทศคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่น ชะลอการทำข้อตกลงทวิภาคี
    6. อัตราภาษีศุลกากรโดยรวมของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ร้อยละ 15 ตามคำสั่งระงับของศาลอุทธรณ์ เทียบกับร้อยละ 6 หากคำตัดสินของศาลการค้ามีผลบังคับใช้ และร้อยละ 2-3 ก่อนที่ทรัมป์จะกลับเข้าสู่ตำแหน่งในเดือนมกราคม 2568

ข้อมูลเพิ่มเติม: คดีที่ยื่นต่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) เพื่อคัดค้านภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกอบด้วยสองคดีหลัก ดังนี้:

    1. กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก: องค์กร Liberty Justice Center ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ได้ยื่นฟ้องในนามของธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐฯ จำนวน 5 รายที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากร ธุรกิจเหล่านี้ระบุว่าภาษีศุลกากรส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการดำเนินงานของพวกเขา ซึ่งได้แก่: O.S. Selections
      (ผู้นำเข้าไวน์และสุราในนิวยอร์ก), FishUSA, Genova Pipe, MicroKits LLC และ Terry Precision Cycling
    1. กลุ่มรัฐ 12 รัฐ: คดีที่สองยื่นโดยอัยการสูงสุดของ 12 รัฐที่มีผู้ว่าการจากพรรคเดโมแครต นำโดยนาย Dan Rayfield อัยการสูงสุดแห่งรัฐออริกอน รัฐที่เข้าร่วมฟ้องร้อง ได้แก่: นิวยอร์ก อาริโซนา โคโลราโด คอนเนคทิคัต เดลาแวร์ อิลลินอยส์ เมน มินนิโซตา นิวเม็กซิโก และ เวอร์มอนต์

ทั้งสองกลุ่มนี้โต้แย้งว่าประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการอ้างกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act – IEEPA) เพื่อกำหนดภาษีศุลกากรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาคองเกรส ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ.

*********************************************************

ที่มา: Reuters
เรื่อง: “Trump's tariffs to remain in effect after appeals court grants stay”
โดย: Dietrich Knauth และ Sarah Marsh
สคต. ไมอามี /วันที่ 30 พฤษภาคม 2568

เนื้อหาสาระข่าว: สรุปประเด็นข่าวสำคัญ

    • ศาลชี้รัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้รัฐสภาสหรัฐฯ เป็นผู้กำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศ
    • ตลาดการเงินตอบรับเชิงบวก ค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้น
    • ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยื่นอุทธรณ์และตั้งคำถามถึงอำนาจของศาล
    • อากรนำเข้าเฉพาะกลุ่ม เช่น รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ยังคงมีผลบังคับใช้

นิวยอร์ก, 28 พฤษภาคม (รอยเตอร์) – ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้มีคำพิพากษาขัดขวางการเรียกเก็บอากรนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นส่วนใหญ่ โดยถือว่าเป็นคำตัดสินในวงกว้างที่ชี้ให้เห็นว่าประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการกำหนดอากรแบบครอบคลุมต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ศาลการค้าระหว่างประเทศระบุว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาได้ให้อำนาจแก่รัฐสภาแต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมการค้ากับต่างประเทศ และอำนาจดังกล่าวไม่สามารถถูกลบล้างได้ด้วยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีในการคุ้มครองเศรษฐกิจของประเทศ

“ศาลไม่อาจตัดสินเกี่ยวกับความเหมาะสมหรือประสิทธิภาพของการใช้อากรเป็นเครื่องมือต่อรองโดยประธานาธิบดีได้” คณะผู้พิพากษาสามคนกล่าวในการมีคำพิพากษาให้มีคำสั่งห้ามถาวรต่อคำสั่งเรียกเก็บอากรแบบครอบคลุมที่ทรัมป์ได้ประกาศใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม “การใช้อำนาจนั้นไม่อาจกระทำได้ ไม่ใช่เพราะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีประสิทธิภาพ แต่เพราะกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนั้น”

ตลาดการเงินตอบรับคำตัดสินด้วยความยินดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นภายหลังคำสั่งของศาล โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินยูโร เยน และฟรังก์สวิส ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวเพิ่มขึ้น และดัชนีหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชียต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน

ผู้พิพากษายังมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหารของทรัมป์ออกคำสั่งใหม่ให้สอดคล้องกับคำสั่งห้ามถาวรภายในระยะเวลา 10 วัน ต่อมาเพียงไม่กี่นาที ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ยื่นหนังสือแสดงความประสงค์จะอุทธรณ์คำตัดสิน และตั้งข้อสงสัยต่ออำนาจของศาลดังกล่าว โดยศาลได้มีคำสั่งให้คำสั่งของทรัมป์ทั้งหมดที่ออกตามพระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act: IEEPA) เป็นโมฆะโดยมีผลในทันที โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับภัยคุกคาม “ที่ไม่ปกติและร้ายแรง” ในระหว่างที่มีภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ทั้งนี้ ศาลไม่ได้รับคำร้องให้พิจารณาเกี่ยวกับอากรเฉพาะอุตสาหกรรมที่ทรัมป์ได้ออกคำสั่ง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง

ศาลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในแมนฮัตตัน มีเขตอำนาจในการพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศและกฎหมายศุลกากร คำตัดสินของศาลนี้สามารถอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางประจำเขตวอชิงตัน ดี.ซี. และท้ายที่สุดถึงศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาได้

ความวุ่นวายทางการค้า

ทรัมป์ได้ใช้นโยบายเรียกเก็บอากรนำเข้าต่อผู้นำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากประเทศต่าง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของสงครามการค้าที่ยังดำเนินอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงต่อกระแสการค้าระหว่างประเทศและตลาดการเงิน ซึ่งบริษัททุกขนาดต่างได้รับผลกระทบจากการกำหนดอากรที่รวดเร็วและการกลับลำอย่างฉับพลันของทรัมป์ ขณะพยายามบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การจ้างงาน และราคาสินค้า

โฆษกของทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันพุธว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศอื่นถือเป็น “ภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่ได้ทำลายชุมชนชาวอเมริกัน ทิ้งแรงงานไว้เบื้องหลัง และทำให้ฐานอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศอ่อนแอลง — ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลไม่ได้ปฏิเสธ” นาย Kush Desai โฆษกทำเนียบขาว กล่าวในแถลงการณ์อีกว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในการตัดสินว่าอะไรคือวิธีการที่เหมาะสมในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินระดับชาติ” หากคำตัดสินมีผลถาวร ย่อมเป็นการทำลายยุทธศาสตร์หลักของทรัมป์ที่ใช้อากรในอัตราสูงเพื่อบีบบังคับประเทศคู่เจรจาให้ยินยอมต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และยังก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมากในการเจรจาทางการค้าหลายฝ่ายที่กำลังดำเนินอยู่กับสหภาพยุโรป จีน และประเทศอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า คำสั่งนี้ไม่ได้ยับยั้งการจัดเก็บอากรในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ และยังมีช่องทางทางกฎหมายอื่นที่ประธานาธิบดีสามารถใช้อำนาจจัดเก็บอากรแบบครอบคลุมหรือแบบเฉพาะประเทศได้ นาย Alec Phillips นักวิเคราะห์ เขียนไว้ในบันทึก“คำพิพากษานี้ถือเป็นอุปสรรคต่อแผนการจัดเก็บอากรของฝ่ายบริหาร และเพิ่มความไม่แน่นอนในระดับสูง แต่ก็อาจไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้ายของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ”

ทรัมป์ได้ให้คำมั่นกับประชาชนชาวอเมริกันว่า มาตรการอากรจะสามารถดึงงานภาคการผลิตกลับคืนสู่ประเทศ และลดการขาดดุลการค้าสินค้า ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำมั่นหลักของการหาเสียงของเขา หากไม่มีอำนาจต่อรองโดยทันทีจากการจัดเก็บอากร ฝ่ายบริหารของทรัมป์อาจต้องค้นหาวิธีการใหม่ในการสร้างอำนาจต่อรอง หรือใช้แนวทางการเจรจาที่ช้าลงกับประเทศคู่ค้า โดยการตอบสนองเบื้องต้นจากผู้กำหนดนโยบายในเอเชียมีความเงียบขรึม โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกล่าวว่าจะตรวจสอบรายละเอียดของคำพิพากษาดังกล่าว ในขณะที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ระบุว่า ภายใต้คำพิพากษาดังกล่าว อัตราอากรโดยเฉลี่ยที่มีผลต่อสินค้าเกาหลีใต้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจลดลงจากร้อยละ 13.3 เหลือร้อยละ 9.7

รัฐมนตรีคลังของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า คำตัดสินของศาลนี้ “อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมามีเหตุผลมากขึ้น”

ภาคธุรกิจกำลังระส่ำระสาย

คำพิพากษานี้เกิดขึ้นจากคดีความสองคดี ได้แก่ คดีที่ศูนย์ยุติธรรมเสรีภาพ (Liberty Justice Center) ยื่นฟ้องแทนบริษัทธุรกิจขนาดเล็กห้ารายในสหรัฐฯ ที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากอากรดังกล่าว และอีกคดีที่ยื่นฟ้องโดย 12 รัฐของสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ผู้นำเข้าไวน์และสุราจากนิวยอร์ก ผู้ผลิตชุดอุปกรณ์การศึกษาและเครื่องดนตรีจากเวอร์จิเนีย ต่างให้การว่า อากรนำเข้าเหล่านี้ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างปกติ

ผู้พิพากษาเขียนไว้ในคำวินิจฉัยว่า “ในกรณีนี้ ไม่มีข้อสงสัยว่าศาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแบบจำกัดแก่โจทก์โดยเฉพาะ หากคำสั่งอากรที่ท้าทายนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์ ก็ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อทุกฝ่าย” ในปัจจุบัน ยังมีคดีความที่เกี่ยวข้องกับอากรเหล่านี้อีกอย่างน้อยห้าคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา นาย Dan Rayfield อัยการสูงสุดรัฐออริกอน สมาชิกพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นผู้นำคดีของก   ลุ่มรัฐทั้ง 12 กล่าวว่า อากรของทรัมป์นั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขาดความรอบคอบ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ”เขากล่าวในแถลงการณ์อีกว่า “คำพิพากษานี้ยืนยันว่า กฎหมายของเรายังมีความสำคัญ และการตัดสินใจด้านการค้าไม่อาจกระทำได้ตามอำเภอใจของประธานาธิบดี”

ทรัมป์ได้อ้างอำนาจกว้างขวางในการเรียกเก็บอากรตามพระราชบัญญัติ IEEPA ซึ่งโดยปกติแล้วใช้ในการคว่ำบาตรศัตรูของสหรัฐฯ หรือการอายัดทรัพย์สินของพวกเขา โดยทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ใช้กฎหมายนี้ในการเรียกเก็บอากร โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่าควรยกฟ้องคดีเหล่านี้ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหายจากอากรที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ และเนื่องจากมีเพียงรัฐสภาเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน ที่สามารถท้าทายสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศโดยประธานาธิบดีตาม IEEPA ได้

ในการกำหนดอากรเมื่อต้นเดือนเมษายน ทรัมป์ประกาศว่าการขาดดุลการค้าเป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่ทำให้เขามีอำนาจในการเรียกเก็บอากรนำเข้าร้อยละ 10 สำหรับสินค้าทุกประเภท พร้อมทั้งกำหนดอัตราที่สูงขึ้นสำหรับประเทศที่มีดุลการค้าขาดดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด โดยเฉพาะจีน อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีเฉพาะประเทศได้ถูกระงับเป็นระยะเวลา 90 วันในสัปดาห์ถัดมา ในขณะที่อัตราพื้นฐานร้อยละ 10 ได้ถูกบังคับใช้กับประเทศส่วนใหญ่ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ฝ่ายบริหารของทรัมป์ประกาศลดอัตราภาษีสูงสุดที่จัดเก็บจากจีนเป็นการชั่วคราว ขณะกำลังดำเนินการเจรจาข้อตกลงการค้าระยะยาว โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะลดอัตราภาษีระหว่างกันเป็นเวลาอย่างน้อย 90 วัน

บทวิเคราะห์: ตลาดการเงินตอบรับคำพิพากษาดังกล่าวในเชิงบวก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร เงินเยน และฟรังก์สวิส ในขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดฟิวเจอร์สของวอลล์สตรีทต่างก็พุ่งตัวสูงขึ้น นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ให้ความเห็นว่า แม้คำตัดสินจะกระทบต่อกลยุทธ์การจัดเก็บภาษีของทรัมป์ แต่ไม่ได้ตัดสิทธิ์การจัดเก็บอากรเฉพาะกลุ่มหรือแบบเฉพาะประเทศ ซึ่งยังสามารถดำเนินการผ่านช่องทางทางกฎหมายอื่นได้

    • ผลกระทบในระยะสั้น: คำตัดสินของศาลส่งผลให้ภาษีดังกล่าวยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ ทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่ต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มเติมในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการอุทธรณ์อาจเป็นผลให้นโยบายการค้ามีความไม่แน่นอน
    • ปฏิกิริยาของตลาด: ตลาดการเงินทั่วโลกตอบสนองในเชิงบวกต่อคำวินิจฉัยดังกล่าว โดยตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงเสถียรภาพของบรรยากาศทางการค้าในระยะสั้น
    • ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น: หากรัฐบาลสหรัฐฯ ชนะการอุทธรณ์ อัตราภาษีดังกล่าวอาจถูกนำกลับมาใช้ ส่งผลให้ต้นทุนของผู้ส่งออกไทยเพิ่มขึ้น อีกทั้งความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจในระยะยาว

ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลทรัมป์อ้างว่าสหรัฐฯ ประสบภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจจากดุลการค้าที่ขาดดุลจำนวนมาก และใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาการค้ากับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งในช่วงแรกได้เรียกเก็บอากรนำเข้าร้อยละ 10 สำหรับสินค้าทุกประเภท และอัตราสูงกว่านี้สำหรับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ามากที่สุดกับสหรัฐฯ ก่อนจะระงับภาษีเฉพาะประเทศเป็นเวลา 90 วัน และปรับลดอัตราสูงสุดของจีนชั่วคราวเพื่อดำเนินการเจรจาต่อไป

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: คำพิพากษานี้มีผลในทันที ส่งผลให้คำสั่งของทรัมป์ตาม IEEPA ทั้งหมดเป็นโมฆะ ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อกลยุทธ์นโยบายการค้าของรัฐบาล โดยเฉพาะกับการเจรจากับสหภาพยุโรป จีน และประเทศอื่น ๆ ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องนำเข้าสินค้าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีดังกล่าว ซึ่งบริษัทบางแห่งรวมถึงผู้ผลิตเครื่องดนตรีและชุดการศึกษากล่าวว่า ภาษีเหล่านี้ส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

    • ติดตามกระบวนการอุทธรณ์: ควรติดตามข่าวสารด้านกฎหมายอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากคำวินิจฉัยถูกพลิกกลับ ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ
    • กระจายความเสี่ยงทางการค้า: แม้ว่านโยบายดึงการผลิตกลับสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จในที่สุด แต่สหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไปอีกนาน และการสั่งซื้อจากไทยก็ยังไม่อาจจะเลี่ยงได้ ในขณะที่ไทยก็จะยังเป็นแหล่งสินค้าที่สำคัญอยู่ต่อไป แต่ผู้ประกอบการไทยที่พึ่งพาสหรัฐฯแบบเต็มตัว ก็ควรขยายช่องทางการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรป (EU) และอาเซียนด้วย เพื่อให้สัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มีความสำคัญลดลงบ้าง
    • เสริมสร้างความร่วมมือทางการค้า: ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจาความตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากนโยบายภาษีในอนาคต
    • เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน: พัฒนาคุณภาพสินค้าและลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของมาตรการภาษี

*********************************************************

ที่มา: Reuters
เรื่อง: “US court blocks most Trump tariffs, says president exceeded his authority”
โดย: Dietrich Knauth and Daniel Wiessner
สคต. ไมอามี /วันที่ 29 พฤษภาคม 2568
thThai