การระงับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ ทำให้ผู้จัดส่งสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภคมีความหวังมากขึ้น แต่ผู้จัดส่งยังคงต้องปรับห่วงโซ่อุปทานอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับกฎการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
รูปแบบการจัดส่งสินค้าโดยตรงมายังผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางด้านภาษีและกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวดขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการการยกเว้นภาษีแบบ de minimis สำหรับสินค้าที่มาจากจีนและฮ่องกงเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา มาตรการนี้เคยอนุญาตให้สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ นำเข้ามายังสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการนี้เคยช่วยให้บริษัทอีคอมเมิร์ซอย่าง Shein, Temu และรายอื่น ๆ สามารถควบคุมราคาสินค้าที่จัดส่งจากจีนให้ต่ำได้
เมื่อมาตรการ de minimis ถูกยกเลิก ส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 145% ทั้งนี้ ปริมาณสินค้ารายวันที่เคยใช้สิทธิ์ de minimis ลดลงกว่า 85%
นาย Chris Mabelitini ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญาและอีคอมเมิร์ซ จากกรมศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) กล่าวไว้ในการประชุมสุดยอดด้านการค้าประจำปี 2025 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 ว่า “การนำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำที่ใช้ประโยชน์จากมาตรการ de minimis ลดลงอย่างมาก จากเดิมที่มีสินค้าราว 4 ล้านชิ้นต่อวัน ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 600,000 ชิ้นต่อวัน”
สาเหตุบางส่วนของการลดลงนี้เกิดจากสินค้าที่เคยใช้สิทธิ์ de minimis หันมาใช้วิธีการนำเข้าช่องทางอื่นแทน โดยหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมคือการนำเข้าสินค้าแบบไม่เป็นทางการประเภท 11 หรือ informal entry ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 2,500 เหรียญสหรัฐได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อน
การระงับภาษีนำเข้าชั่วคราวจะส่งผลให้ธุรกิจฟื้นตัวหรือไม่
การระงับอัตราภาษีนำเข้าเป็นระยะเวลา 90 วันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2025 ได้จุดประกายความหวังให้กับธุรกิจการการนำเข้าโดยตรงสู่ผู้บริโภค (D2C) ในสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
สำหรับบริษัท Portless ซึ่งให้บริการคลังสินค้าและจัดส่งอีคอมเมิร์ซโดยตรงจากจีน การลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30% ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ที่ร่วมงานกับบริษัท โดย นาง Izzy Rosenzweig ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถจัดการกับภาษีศุลกากร 30% ได้ด้วยแผนลดต้นทุนและการปรับขึ้นราคาสินค้า พร้อมหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะช่วยลดอัตราภาษีลงได้อีก “ตอนนี้มีการจัดส่งสินค้าจำนวนมาก แบรนด์ต่าง ๆ ก็กลับมาทำการตลาดอีกครั้ง มีการเจรจาทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ใช่แค่การเจรจากันแบบไร้ทิศทาง” อย่างไรก็ตาม แม้การลดภาษีจะเป็นข่าวดี แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า มาตรการนี้จะทำให้บริษัทต่าง ๆ เปลี่ยนกลับไปใช้ห่วงโซ่อุปทานรูปแบบดั้งเดิมมากกว่าที่จะกลับมาใช้การนำเข้าผ่านมาตรการ de minimis ผู้ประกอบการจำนวนมากได้เริ่มหาพันธมิตรในการจัดส่งภายในสหรัฐฯ หรือจัดหาแหล่งผลิตทางเลือกนอกประเทศจีน เช่น เวียดนาม
นาย Derek Lossing ผู้ก่อตั้งบริษัทให้คำปรึกษาปรึกษาด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศและอีคอมเมิร์ซ Cirrus Global Advisors คาดว่าการจัดส่งสินค้าโดยตรงถึงผู้บริโภคจากจีนจะฟื้นตัวขึ้นบางส่วน แต่ไม่ถึงขั้นกลับมาเท่าช่วงก่อนหน้านี้ ผู้ขายอีคอมเมิร์ซหลายรายจะเริ่มจัดส่งสินค้าคงคลังในรูปแบบ bulk ทางเรือไปเก็บไว้ในคลังสินค้าสหรัฐฯ แทนที่จะใช้การขนส่งทางอากาศเพื่อจัดส่งสินค้าแต่ละรายการให้กับลูกค้า “ผมคิดว่าเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากการขนส่งสินค้าทางอากาศไปสู่การขนส่งทางเรือในระยะยาว”
นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงกฎ de minimis บริษัท Temu ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักของการขนส่งสินค้าจากจีนมายังสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มพึ่งพาการจัดส่งสินค้ามายังสหรัฐฯ ผ่านผู้ขายในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การระงับภาษีนำเข้าจากจีนก็เปิดโอกาสให้บริษัทอีคอมเมิร์ซสามารถสต๊อกสินค้าคงคลังในสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการขึ้นภาษีศุลกากรในอนาคตได้
นอกจากการลดภาษีศุลกากรโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ลดภาษีสำหรับสินค้าส่งทางไปรษณีย์จากจีนและฮ่องกงจาก 120% เหลือ 54% และอนุญาตให้ไปรษณีย์หรือผู้ให้บริการการขนส่งสามารถเลือกเก็บค่าธรรมเนียม 100 เหรียญสหรัฐต่อพัสดุแทนได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการขนส่งแบบไปรษณีย์ระหว่างประเทศไม่ได้มีบทบาทสำคัญในธุรกิจการนำเข้าสินค้าโดยตรงสู่ผู้บริโภค (D2C) จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
นาย Thomas Taggart รองประธานฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของบริษัท Passport บริษัทให้บริการการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า “ปริมาณการส่งแบบไปรษณีย์จากจีน ฮ่องกง และมาเก๊าแทบไม่มีอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่ามาตรการนี้จะทำให้คนกลับมาใช้วิธีนี้”
ปัญหาด้านการปฏิบัติตามกฎหลังการยกเลิกมาตรการ de minimis
การยกเลิกมาตรการ de minimis สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ทำให้ผู้นำเข้าจำนวนมากต้องเผชิญกับอัตราภาษีและกฏการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าภาคธุรกิจยังปฏิบัติตามกฎใหม่ได้ไม่ทั่วถึงและยังคงมีช่องโหว่
หนึ่งในกลยุทธ์ผิดกฎหมายที่พบคือการปลอมแปลงถิ่นกำเนิดของสินค้า เช่น การติดป้าย “ผลิตในเวียดนาม” ให้กับสินค้าที่ผลิตในจีน อีกแนวทางที่ผิดกฎหมายคือการส่งสินค้าจากจีนไปยังประเทศที่สามก่อน แล้วจึงส่งเข้ามายังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
นาง Maggie Barnett ประธานกรรมการบริษัท LVK Logistics กล่าวกับ RetailDive ว่า “เราคาดว่าจะเห็นการฉ้อโกงเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น การปลอมแปลงเอกสารศุลกากร ใบแจ้งหนี้ หรือฉลากสินค้า รวมถึงการลักลอบเปลี่ยนเส้นทางผ่านประเทศที่สามเพื่อปกปิดแหล่งที่มา”
ตามข้อมูลจาก CBP สินค้าที่ผลิตในจีนและฮ่องกงไม่สามารถใช้สิทธิ์ de minimis ได้ ไม่ว่าจะแวะผ่านประเทศอื่นก่อนเข้าสหรัฐฯ หรือใช้การจัดส่งผ่านไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ทางการสหรัฐฯ เริ่มตรวจสอบสินค้าเข้มงวดมากขึ้น และผู้ส่งสินค้าไม่สามารถเสี่ยงที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้โดยการไม่แจ้งแหล่งที่มาที่แท้จริงของสินค้า โดยยกตัวอย่างกรณีที่บริษัทขนส่ง Chit Chats ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าสินค้าบางรายการจากแคนาดาในวันที่ 2 และ 3 พฤษภาคม 2025 เนื่องจากมีสินค้าบางรายการระบุที่มาผิดว่าไม่ใช่จากจีน
“ผลกระทบจากการระบุประเทศต้นทางไม่ถูกต้องนั้นรุนแรง เช่น กรมศุลกากรสหรัฐฯ อาจปฏิเสธการนำเข้าสินค้า หรือยึดสินค้าไปเลยก็ได้ รวมทั้งอาจต้องจ่ายค่าปรับในอัตราที่สูงมาก” นาง Maggie Barnett กล่าว
นาย Chris Mabelitini ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญาและอีคอมเมิร์ซ จากกรมศุลกากรของสหรัฐฯ (CBP) ได้เน้นย้ำระหว่างการเสวนาว่า CBP ยังคงผลักดันให้ผู้นำเข้าระบุรายละเอียดของสินค้าให้ชัดเจนมากขึ้น การอธิบายเนื้อหาของสินค้าที่จัดส่งอย่างคลุมเครือว่าเป็นของขวัญหรือเสื้อนั้นไม่เพียงพอและต้องแจ้งชื่อผู้รับที่แท้จริงเสมอ
ข้อเสนอแนะจากสคต.นิวยอร์ก
แม้การยกเลิกมาตรการ de minimis สำหรับสินค้าจากจีนและฮ่องกงจะส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์และรูปแบบการนำเข้าสินค้าทางอีคอมเมิร์ซอย่างมีนัยสำคัญ แต่สถานการณ์นี้กลับเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการ de minimis อยู่ กล่าวคือสินค้าที่จัดส่งตรงถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐต่อคำสั่งซื้อจะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและไม่ต้องผ่านขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อนเหมือนสินค้าจากจีน
ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาปรับรูปแบบการค้าให้ตอบโจทย์กับระบบ direct-to-consumer (D2C) มากขึ้น เช่น การขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon, Etsy หรือ Shopify โดยส่งตรงจากไทยถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ด้วยการจัดชุดสินค้าที่มูลค่าไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านราคาและน้ำหนัก จะช่วยให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบการควรเน้นสร้างภาพลักษณ์สินค้า “Made in Thailand” ให้ชัดเจน และใช้จุดแข็งด้านคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และมาตรฐานความปลอดภัย มาเป็นข้อได้เปรียบในการสื่อสารกับผู้บริโภคอเมริกัน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ความงาม อาหารแปรรูป และงานฝีมือ
ท้ายที่สุด ผู้ประกอบการควรติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายการค้าสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสิทธิประโยชน์ de minimis อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามทิศทางของการเมืองและการเจรจาการค้าในอนาคต การเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า เช่น การสำรวจช่องทางการขนส่งทางทะเล หรือการกระจายสินค้าผ่านคลังในพื้นที่ต่าง ๆ ของสหรัฐฯ จะช่วยให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีเมื่อเงื่อนไขการค้าเปลี่ยนไป
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ข้อมูลอ้างอิง RetailDive