โครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลใหม่กำลังจะเข็นออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการแพ็กเกจหนี้ (Schuldenpaket) โครงการเปลี่ยนแปลงด้านระบบการย้ายถิ่นฐาน (Migrationswende) และโครงการลงทุนเชิงรุก ของนาย Friedrich Merz สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) ซึ่งกำลังจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งนายก รัฐมนตรีคนที่ 10 ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งขณะนี้ บริษัทขนาดกลางหลายแห่งยังคงรอดูท่าที่ของนายกคนใหม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ก่อนที่จะขยายการลงทุนในเยอรมนีอีกครั้ง และจากผลลัพธ์ในแบบสอบถาม “SME Radar” ของธนาคาร Landesbank Baden-Württemberg (LBBW) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหากล่าวถึง กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) และพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ที่ได้ลงนามใน MOU ข้อตกลงร่วมรัฐบาลฉบับใหม่ ซึ่งใน MOU ฉบับนี้ ได้ระบุถึงการลงทุนหลายพันล้านยูโรในด้านการป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของ LBBW พบว่า ตั้งแต่มีการประกาศจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นว่า จะมีการตื่นตัวในภาคเศรษฐกิจแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น จากการสำรวจ SMEs จำนวน 225 ราย (หรือจำนวน 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด) ต่างก็มีความประสงค์ที่จะขยายการลงทุนหากการเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวและความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น ด้านนาย Joachim Erdle สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายลูกค้าองค์กรของ LBBW มองว่า นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า “พวกเขาต้องการลงทุน แต่เงื่อนไขกรอบยังไม่เหมาะสม” นั่นเอง

 

ผู้ตอบแบบสำรวจของ LBBW ระบุว่า ระบบราชการ (94%) ราคาพลังงานที่สูง (91%) และกฎระเบียบต่าง ๆ (89%) ได้กลายเป็นอุปสรรคใหญ่สุดต่อการลงทุน เมื่อเปรียบเทียบระดับนานาชาติ โดยภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน มีเพียง 22% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ที่ระบุว่า มีความประสงค์จที่จะขยายการลงทุนในเยอรมนีในปีนี้ แต่กว่า 60% ต้องการอย่างน้อยที่สุดที่จะลงทุนเท่าเดิม และ 15% จะลดการลงทุนในปี 2025 เมื่อเทียบกับปี 2024 และนอกจากความท้าทายในระยะสั้นที่ภาคเศรษฐกิจเยอรมันจะต้องเผชิญแล้ว ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอื่น ๆ อีกด้วย โดยนาย Andreas da Graça ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยของ LBBW Research ได้ชี้ให้เห็นว่า รูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมของเยอรมนีในฐานะประเทศผู้ส่งออกไม่ได้เป็นสิ่งที่จะสามารถรับประกันได้ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตได้โดยอัตโนมัติ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วจากข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา สัดส่วนการมีส่วนร่วมของภาคการลงทุนต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สะสมนั้น มีค่าลบต่อเนี่อง คำอธิบายของนาย Da Graça ถึงประเด็นดังกล้าวสรุปได้ว่า “บริษัทขนาดกลางได้เดินตามรอยบริษัทขนาดใหญ่ที่ขยายการลงทุนในต่างประเทศ” โดยการลงทุนแบบนี้ จะทำให้พวกเขาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้นและยังเป็นการลดขั้นตอนของทางราชการให้น้อยลง แถมต้นทุนแรงงานและพลังงานก็ถูกกว่าในเยอรมนีอีกด้วย โดยประเด็นสำคัญที่กล่าวมา จึงทำให้ปริมาณการส่งออกของเยอรมนีลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกัน ปริมาณการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทเยอรมันกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งเรี่องนี้ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะงการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่ากับการเติบโตทางเศรษฐกิจของบริษัทเยอรมันในต่างประเทศ ด้านนาย Da Graça กล่าวว่า “การกระทำเช่นนี้เหมือนกับว่า ภาคเอกชนกำลังทำลายความเจริญรุ่งเรืองภายในประเทศตัวเองลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อประเทศเป็นอย่างมาก” นาย Daniel Terberger หุ้นส่วนผู้บริหารของบริษัท Katag ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจแฟชั่นจึงเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับอุปสงค์ภายในประเทศ (Domestic Demand) ให้มากขึ้น บริษัทของนาย Terberger เป็นผู้จัดหาเสื้อผ้าให้กับร้านค้าปลีกสินค้าแบรนด์แฟชั่นมากกว่า 300 แห่ง รวมถึงบริการและด้านการเงิน โดยนาย Terberger รู้ว่า ลูกค้าหลายรายของเขากำลังประสบปัญหาจนต้องลดการบริโภคลง เขาฝากความหวังไว้กับนาย Karsten Wildberger ซีอีโอของบริษัท Ceconomy ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน โดยนาย Terberger กล่าวว่า “ใครก็ตามที่เคยบริหารบริษัทในตลาดที่ยากลำบากเช่นนี้มาเป็นเวลากว่า 4 ปี ย่อมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในเยอรมนี นาย Wildberger เป็นผู้รู้ถึงความสำคัญของอุปสงค์ภายในประเทศ” เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ใน MOU เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างกลุ่ม Union และ SPD ได้แก้ไขข้อกังวลบางประการของภาคเอกชนลง โดยนับจากนี้ – ปี 2027 จะมีการคำนวณการเสื่อมราคาไว้ที่ 30% (อดีตสูงสุด 20%) สำหรับการลงทุนในอุปกรณ์ โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลจะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป นาย Andreas da Graça นักวิจัยของ LBBW มองโลกในแง่ดีว่า “สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนพูดกัน” จากการสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า ประเทศเยอรมนีมีผลงานที่ดีเมื่อเปรียบเทียบในระดับนานาชาติในเรื่อง ทรัพยากรมนุษย์ การศึกษาที่ดี เงื่อนไขทางการเงินที่ดี ความมั่นคงของสถาบันทางการเมือง และที่สำคัญที่สุดคือ การที่ประเทศเยอรมนีเป็นนิติรัฐ[1]ที่มั่นคง นาย da Graça กล่าวว่า “ปัจจัยเดียวที่จะช่วยได้ในขณะนี้ คือ การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ซึ่งสามารถทำได้โดยอาศัยนวัตกรรมเท่านั้น นั่นคือจุ ดที่รัฐบาลต้องเริ่มต้น” อย่างจริงจัง

 

จาก Handelsblatt 23 พฤษภาคม 2568

[1] นิติรัฐ (Rechtsstaat) เป็นถ้อยคำที่ใช้กันในประเทศที่ใช้ระบบ ประมวลกฎหมาย หมายถึงการบริหารปกครองรัฐหรือสังคมซึ่งถือกฎหมายเป็นใหญ่ เป็น “การปกครอง” โดยกฎหมาย มิใช่แล้วแต่อำเภอใจของผู้ใช้อำนาจหรือ “ผู้ปกครอง” สามารถตรวจสอบผู้ใช้อำนาจได้ โดยมีกฎหมายเป็นใหญ่ในการบริหารจัดการรัฐ

 

thThai