สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต
เยอรมนีกำลังปฏิรูปภาคเกษตรกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์เข้ามาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง การลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจนมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เยอรมนีก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเกษตรกรรมดิจิทัลและเกษตรอัจฉริยะในยุโรป ความพยายามดังกล่าวไม่เพียงตอบสนองต่อความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังมุ่งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ภายใต้ยุทธศาสตร์ดิจิทัลแห่งชาติ (Digitalstrategie Deutschland) เยอรมนีมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ ความยั่งยืน สวัสดิภาพสัตว์ และการนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติโดยมีเป้าหมายสำคัญคือการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI และ Big Data สำหรับภาคการผลิตอาหารและการเกษตร (Agrifood) ภายในปี 2025 พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสุขภาพสัตว์
เทคโนโลยีหลักที่กำลังพลิกโฉมเกษตรกรรมเยอรมัน
1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับภาคเกษตร ตั้งแต่การใช้ระบบจดจำภาพเพื่อตรวจจับโรคพืชด้วยความแม่นยำสูง การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ผลผลิตและแนวโน้มตลาด ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิต (เช่น ลดการใช้ปุ๋ยได้ถึงร้อยละ 20) และปรับปรุงการจัดการฟาร์มรวมถึงสุขภาพสัตว์ แม้ปัจจุบันมีบริษัทเพียงร้อยละ 14 ที่นำ AI/Big Data มาใช้งาน แต่เกือบร้อยละ 60มีแผนที่จะนำมาปรับใช้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังคงมีช่องว่างด้านความรู้ความเข้าใจของเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามแก้ไขผ่านการให้ทุนวิจัยและการฝึกอบรม AI ช่วยเปลี่ยนการจัดการฟาร์มสู่การดำเนินงานเชิงรุก ทำให้สามารถตรวจจับปัญหาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและเพิ่มความยั่งยืน
2. หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในฟาร์มเยอรมัน ตั้งแต่รถแทรกเตอร์อัตโนมัติ หุ่นยนต์กำจัดวัชพืช (ซึ่งสามารถลดการใช้สารเคมีได้กว่าร้อยละ 90) หุ่นยนต์รีดนม (ใช้งานในฟาร์มโคนมร้อยละ 21) หุ่นยนต์ให้อาหารและทำความสะอาด ไปจนถึงหุ่นยนต์ภาคสนามอัตโนมัติ (AFRs) สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เยอรมนีซึ่งเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์บริการชั้นนำของโลก จึงมีความได้เปรียบในการพัฒนาและส่งออกหุ่นยนต์การเกษตร โดยเฉพาะ AFRs ขนาดเล็กที่ช่วยให้ฟาร์มขนาดเล็กสามารถเข้าถึงระบบอัตโนมัติได้ง่ายขึ้น เพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความยั่งยืน
3. อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์
IoT และเซ็นเซอร์ช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลพืชผล ดิน สภาพอากาศ และสุขภาพสัตว์ได้แบบเรียลไทม์ นำไปสู่การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making)และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ความสำเร็จของเทคโนโลยีนี้ขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชนบท ซึ่งเยอรมนีกำลังลงทุนพัฒนาเครือข่าย 5G และตั้งเป้าขยายเครือข่ายใยแก้วนำแสงระดับกิกะบิตให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2030 นอกจากนี้ เซ็นเซอร์ที่มีราคาถูกลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น กำลังทำให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้มากขึ้น
4. โดรน (Drones)
โดรนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการติดตามพืชผล การทำแผนที่ และการกระจายปัจจัยการผลิตอย่างแม่นยำ ปัจจุบันยังมีการพัฒนาไปสู่การใช้งานเชิงรุก เช่น การพ่นยาเฉพาะจุด หรือการใช้กล้องตรวจจับความร้อนเพื่อช่วยชีวิตลูกกวาง ซึ่งไม่เพียงแต่มีประโยชน์ด้านการเกษตรและสวัสดิภาพสัตว์ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการทำฟาร์มสมัยใหม่
เกษตรกรรมดิจิทัลในเยอรมนีจะถูกกำหนดโดยแนวโน้มสำคัญหลายประการ ได้แก่การเติบโตอย่างต่อเนื่องของการนำ AI หุ่นยนต์ และ IoT มาใช้ การมุ่งเน้นที่เพิ่มขึ้นในการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและแพลตฟอร์มการจัดการฟาร์ม ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (เช่น AI กับหุ่นยนต์ หรือ IoT กับการวิเคราะห์ข้อมูล) นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นสำหรับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ และการให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร รวมถึงบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI นโยบายของกระทรวงอาหารและการเกษตรแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี (BMEL)ที่กำลังจะมีการทบทวนสำหรับปี 2025 ก็มีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างศักยภาพ การสร้างพันธมิตร และเกษตรนิเวศ (Agroecology)
อนาคตมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับระบบเกษตรกรรมที่เชื่อมโยงกันและชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนจากเครื่องมือดิจิทัลที่ทำงานแบบเอกเทศไปสู่แพลตฟอร์มแบบบูรณาการที่สามารถจัดการระบบนิเวศของฟาร์มทั้งหมด ซึ่งสิ่งนี้ต้องการความก้าวหน้าอย่างมากในด้านการทำงานร่วมกันของระบบ (Interoperability) และมาตรฐานข้อมูล เครื่องมือดิจิทัลในปัจจุบันมักทำงานแยกส่วนกัน แนวโน้มการพัฒนา ระบบนิเวศดิจิทัล เช่น Gaia-X และแพลตฟอร์มการจัดการฟาร์ม กำลังชี้ให้เห็นถึงอนาคตที่ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ (เซ็นเซอร์ เครื่องจักร สภาพอากาศ ตลาด) จะถูกรวบรวมและวิเคราะห์แบบองค์รวมช่วยให้การตัดสินใจมีความซับซ้อนและแม่นยำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญในด้านการแบ่งปันข้อมูล การกำหนดมาตรฐาน และความปลอดภัยของข้อมูล
การมุ่งเน้นที่เพิ่มขึ้นในการเกษตรแบบฟื้นฟู (Regenerative Agriculture)และเกษตรนิเวศควบคู่ไปกับการใช้เครื่องมือดิจิทัล ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นโดยเทคโนโลยีไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรูปแบบการทำฟาร์มอุตสาหกรรมที่มีอยู่แต่เพื่อเปิดใช้งานระบบการทำฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเกษตรกรรมดิจิทัลของเยอรมนีมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเป้าหมายขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรร้อยละ 60 ภายในกลางศตวรรษนี้ และมีศักยภาพในการลดการสูญเสียและขยะอาหาร ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีมากกว่าร้อยละ 30 นอกจากนี้ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจะช่วยให้ภูมิภาคเหล่านี้ยังคงเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและความเสมอภาคทางสังคมเพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง