เนื้อหาสาระข่าว: สหรัฐอเมริกาจะปรับลดอัตราอากรนำเข้าในกรณี “De Minimis” สำหรับพัสดุมูลค่าต่ำที่นำเข้าจากประเทศจีนลงเหลือร้อยละ 30 ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทำเนียบขาวและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ถือเป็นมาตรการคลี่คลายความตึงเครียดในสงครามการค้าที่อาจสร้างความเสียหายระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก

คำสั่งซึ่งเผยแพร่เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้ผ่อนคลายข้อจำกัดให้แก่บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เช่น Shein และ Temu (ในเครือ PDD Holdings) และสืบเนื่องจากข้อตกลงระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ตกลงร่วมกันที่จะระงับการเรียกเก็บอากรตอบโต้ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา 90 วัน นับตั้งแต่ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเมษายน แม้ถ้อยแถลงร่วมภายหลังการเจรจา ณ กรุงเจนีวาจะไม่มีการกล่าวถึงอากร De Minimis แต่คำสั่งที่ลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อัตราอากรสำหรับพัสดุที่จัดส่งโดยตรงถึงผู้บริโภคผ่านทางไปรษณีย์จะถูกปรับลดจากร้อยละ 120 เหลือร้อยละ 54 สำหรับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันพุธเป็นต้นไป ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่ายจำนวน 100 ดอลลาร์ต่อพัสดุไปรษณีย์ยังคงมีผลบังคับใช้ แต่การปรับเพิ่มเป็น 200 ดอลลาร์ในวันที่ 1 มิถุนายน ได้ถูกยกเลิกแล้ว

สำหรับพัสดุที่จัดส่งโดยผู้ให้บริการขนส่งเชิงพาณิชย์ เช่น United Parcel Service (UPS), FedEx และ DHL จะมีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไป โดยพัสดุของ Shein และ Temu ที่เคยจัดส่งเป็นจำนวนมากก่อนที่รัฐบาลทรัมป์จะยกเลิกการยกเว้นอากรสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์จากประเทศจีนนั้น จะถูกเรียกเก็บอัตราอากรนำเข้าที่ลดลงเป็นร้อยละ 30 จากเดิมร้อยละ 145 ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดส่ง 2 ราย ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเกรงผลกระทบจากการให้ข้อมูล

อัตราร้อยละ 30 ดังกล่าว เป็นผลจากการที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ปรับลดอัตราอากร “ตอบโต้แบบเทียบเท่า” ของจีนจากร้อยละ 145 เหลือร้อยละ 10 และบวกด้วยอากรแยกต่างหากอีกร้อยละ 20 ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหายาเฟนทานิลในสหรัฐอเมริกา โดยทั้งทำเนียบขาวและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐยังมิได้ให้คำชี้แจงเพิ่มเติมต่อสื่อมวลชน ซึ่ง Jamieson Greer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อวันอังคารว่าอัตราอากรนำเข้าร้อยละ 10 ในระดับโลกนั้นอาจยังคงใช้ต่อไปเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ

ปัญหาการจัดเก็บอากร

โดยทั่วไป ผู้ให้บริการขนส่งเชิงพาณิชย์จะจัดเก็บอากรจากผู้ขายในประเทศจีนก่อนจัดส่งพัสดุ แต่บริการไปรษณีย์ของสหรัฐยังไม่มีระบบรองรับการจัดเก็บอากรแต่อย่างใด แหล่งข่าวสี่รายเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า พัสดุของ Temu และ Shein ส่วนใหญ่ถูกจัดส่งโดยผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ สินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการจากจีนที่ผ่านช่องทางขนส่งเชิงพาณิชย์ ยังคงอยู่ภายใต้อัตราอากรที่สูงมากจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าก่อนหน้านี้ หรือจากการสอบสวนในประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ เช่น เข็มฉีดยาและถุงมือศัลยกรรม ถูกเรียกเก็บอากรนำเข้าสูงถึงร้อยละ 100 ตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าสหรัฐ

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดส่งให้ความเห็นว่า หากสินค้าดังกล่าวถูกจัดส่งโดยไปรษณีย์ และมีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ อาจสามารถเข้าสู่สหรัฐได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเพียง 100 ดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่าอัตราอากรเพียงร้อยละ 12.5

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกเลิกข้อยกเว้น De Minimis และกำหนดระเบียบใหม่ที่แตกต่างกันสำหรับพัสดุที่จัดส่งโดยบริการไปรษณีย์และผู้ให้บริการขนส่งเชิงพาณิชย์ โดยระบุว่า ระบบ De Minimis เปิดช่องให้เกิดการหลั่งไหลของพัสดุจากบริษัทค้าปลีกออนไลน์ของจีน รวมถึงการลักลอบนำเข้ายาเสพติด เช่น เฟนทานิล และสินค้าผิดกฎหมายอื่นๆ เข้าสู่สหรัฐฯ ด้วย จำนวนพัสดุที่เข้าสหรัฐผ่านช่องทางปลอดอากรได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมากกว่าร้อยละ 90 ของพัสดุทั้งหมดเข้ามาผ่านระบบ De Minimis และในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 60 มาจากประเทศจีน โดยเฉพาะผู้ขายแบบตรงถึงผู้บริโภค เช่น Temu และ Shein

จากคำให้การต่อสภาคองเกรสในปี 2024 โดยเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ พบว่ามูลค่าเฉลี่ยของพัสดุที่เข้าข่าย De Minimis ในปีงบประมาณ 2023 อยู่ที่เพียง 54 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งบริษัท Shein ซึ่งกำลังพิจารณาการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน บริษัท Temu (ในเครือ PDD Holdings) และ Amazon คู่แข่งสัญชาติสหรัฐฯ ยังมิได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็น ตามข้อมูลประมาณการของ Nomura ประเทศจีนมีมูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านระบบ De Minimis ไปทั่วโลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 1.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

Jianlong Hu ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Brands Factory ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการค้าปลีกออนไลน์ข้ามพรมแดนของจีน ให้ความเห็นว่า อัตราอากรร้อยละ 54 ยังคงถือว่าสูงมาก “ผู้ขายจำนวนมากอาจยังอยู่ในช่วงรอดูสถานการณ์ แต่โดยภาพรวมแล้ว ยุครุ่งเรืองของการจัดส่งพัสดุขนาดเล็กจากจีนไปยังสหรัฐ น่าจะจบลงแล้ว”

Shein มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบ De Minimis เนื่องจากพึ่งพาการจัดส่งทางอากาศเพื่อให้สินค้าแฟชั่นใหม่จำนวนมากถึงมือผู้บริโภคในตะวันตกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจาก Temu โดย Jianlong Hu ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “Shein อาจยังต้องจัดส่งบางส่วนทางอากาศและยอมจ่ายอากรร้อยละ 54 แทนที่จะจัดส่งทางเรือทั้งหมด เพราะหากผู้บริโภคสั่งซื้อเสื้อผ้าใน Shein แล้วต้องรอสินค้านานถึงหนึ่งเดือน คงจะไม่มีใครยังอยากจะซื้ออยู่”

ช่องโหว่ของกฎหมาย

ค่าเงินหยวนของจีนปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหกเดือนเมื่อวันอังคาร โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นของตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากข้อตกลงทางการค้าระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน สงครามการค้าทั่วโลกที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดฉากขึ้น ซึ่งได้ฉีกกฎเกณฑ์ที่เคยใช้กำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศมานานหลายทศวรรษ ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนและสร้างความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ กฎระเบียบ De Minimis ของสหรัฐฯ ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรค  เดโมแครตและรีพับลิกันว่าเป็นช่องโหว่ที่เอื้อให้สินค้าจากจีนสามารถหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งเปิดช่องให้สารตั้งต้นของยาเสพติด เช่น เฟนทานิล ถูกลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ได้ยืนยันข้อมูลดังกล่าวจากรายงานภาคสนาม

บทวิเคราะห์: จากการรวบรวมข่าวเรื่อภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จากแทบทุกแหล่งข่าวทั้งจากฝั่งตะวันตกและฝั่งจีนเท่าที่หามาได้ ก็ดูเหมือนจะยังคงสับสนกันอยู่มาก สรุปว่า สหรัฐอเมริกาและจีนได้บรรลุข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันลงเหลือ ร้อยละ 10 เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการเจรจาในนครเจนีวา ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะลดภาษีตอบโต้ที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ ภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐฯ จะลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก ร้อยละ 145 ลงเหลือ ร้อยละ 30 โดยแบ่งเป็น ร้อยละ 10 สำหรับภาษีทั่วไป และ ร้อยละ 20 สำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหายาเฟนทานิล ขณะที่จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก ร้อยละ 125 ลงเหลือ ร้อยละ 10 นอกจากนี้ จีนยังตกลงที่จะระงับหรือยกเลิกมาตรการตอบโต้ที่มิใช่ภาษี ซึ่งเคยนำมาใช้กับสินค้าสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ และอาจนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงทางการค้าที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต

สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทันทีภายหลังความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงแล้ว นั้น แม้จะรู้สึกได้ว่าตอบรับกันเร็วเกินไปหรือไม่ แต่เรื่องดีๆ ก็ควรรับกันไว้เสียก่อน

    1. การฟื้นตัวของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก: ตลาดหลักทรัพย์ในหลายภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลต่อสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรง
      • สหรัฐฯ: ดัชนีหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย S&P 500 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3, Nasdaq เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 และ Dow Jones เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 ภายในสัปดาห์เดียว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมาอีกครั้งหลังจากความตึงเครียดทางการค้าผ่อนคลายลง
      • ยุโรป: ดัชนี CAC-40 ของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.37 ดัชนี DAX ของเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.29 และดัชนี FTSE100 ของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.59 สะท้อนบรรยากาศการซื้อขายเชิงบวกในภูมิภาค
      • เอเชีย: ดัชนี HIS ของฮ่องกงพุ่งขึ้นร้อยละ 2.98 ดัชนี SSE Composite ของจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.82 ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.38 และดัชนีตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ (KOSPI) ปิดที่ระดับ 2,87 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.92 จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ห้าติดต่อกัน สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชีย
    2. การฟื้นตัวของค่าเงินและสินทรัพย์เสี่ยง: ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหกเดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของจีน นอกจากนี้ นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตราสารทุน และลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงในระยะสั้น
    3. การขยายตัวของการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน: การลดภาษีศุลกากรช่วยให้การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและมูลค่าการค้าอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ซื้อในสหรัฐฯ จะเร่งสั่งซื้อสินค้าที่ไม่ต้องมีการเตรียมการก่อนการผลิตยาวนานเพิ่มสูงขึ้นก่อนถึงกำหนด 90 วัน
    4. การลดความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก: ข้อตกลงชั่วคราวนี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งธนาคาร JP Morgan ปรับลดความน่าจะเป็นของภาวะถดถอยจากร้อยละ 60 เหลือร้อยละ 40 หลังจากการระงับภาษีตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน ผลกระทบเชิงบวกนี้ยังช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีเสถียรภาพมากขึ้น
    5. ความเชื่อมั่นในภาคการผลิตและการค้าในจีน: ในเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าตกแต่งวันฮาโลวีนของจีน ผู้ผลิตเริ่มฟื้นฟูการค้าและการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หลังจากสงครามทางการค้ามีแนวโน้มผ่อนคลาย แม้ว่าจะยังมีความรู้สึกผสมผสานในหมู่ผู้ผลิต แต่การฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณบวกต่อภาคการผลิตในจีน
    6. การผ่อนคลายแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ: ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น
    7. การฟื้นตัวของค่าเงินและราคาสินค้าโภคภัณฑ์:
      • ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหกเดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากการประกาศข้อตกลงการค้าชั่วคราว
      • ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความคาดหวังว่าการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าจะส่งผลดีต่อความต้องการพลังงานในระดับโลกน้ำมันแพงขึ้นไม่ใช่ข่าวดีเท่าไร แต่เป็นสัญญาณบวกว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 3 เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์น้ำมัน
    8. แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น: นักวิเคราะห์บางส่วนปรับลดความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ Goldman Sachs ปรับลดการคาดการณ์ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากร้อยละ 45 เหลือร้อยละ 35
    9. การไหลเข้าของเงินทุนในกองทุนตราสารทุน: กองทุนตราสารทุนทั่วโลกมีการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิรวมมูลค่า 57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยกองทุนตราสารทุนของสหรัฐฯ มีการไหลเข้ามูลค่า 12.86 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กองทุนในยุโรปและเอเชียมีการไหลเข้ารวมกันมูลค่า 6.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    10. การฟื้นตัวของภาคเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI):
      • หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ เช่น Nvidia และ AMD มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดย Nvidia เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และ AMD เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ภายในสัปดาห์เดียว
      • การลงทุนในเทคโนโลยี AI ได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ ซึ่งมีการลงนามในข้อตกลงการลงทุนด้าน AI ร่วมกัน

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: สรุปได้ว่า ช้างสารที่ชนกันมานานแสนนาน เริ่มนั่งจู๋จี๋กันแล้ว หญ้าแพรกทั้งโลกก็ต่างพากันสบายใจ แม้จะทราบดีว่ายังเป็นเพียงสัญญาณดีชั่วคราวแต่ตลาดก็ตอบรับข่าวดีกันไปแล้ว แต่นับจากผลการเจรจาออกมาทั้งผู้นำเข้าสหรัฐฯ ต้องการสินค้าที่สามารถเตรียมการจัดส่งมาได้ก่อนกำหนด 90 วันจากจีนจะเร่งสั่งซื้อด่วน และผู้ผลิตสินค้าจากจีนก็เช่นกัน คงเร่งส่งสินค้าเข้ามาตลาดสหรัฐฯ กันอย่างหนัก ในช่วง 90 วันนี้เชื่อได้ว่ายอดนำเข้าจากจีนสู่สหรัฐฯ จะพุ่งแรงอย่างมาก

ในแง่ร้ายก็คือ มีความเป็นไปได้ที่ผู้ซื้อสหรัฐฯ อาจชะลอการสั่งซื้อจากตลาดอื่นๆ แล้วหันไปเน้นสั่งซื้อจากจีนเป็นหลักก่อน แต่สำหรับตลาดอื่นๆ รวมถึงไทย หากมีการเจรจาสั่งซื้อและเตรียมการส่งก่อนถึงกำหนดบังคับใช้ภาษีต่างตอบแทนที่กำหนดแตกต่างกันไปสำหรับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะที่สามารถส่งถึงได้ก่อนถึงวันที่ครบ 90 วัน ก็จะต้องมียอดพุ่งสูงขึ้นด้วย หากไม่ทัน ระยะที่ยังไม่มีอะไรแน่นอนนี้ อาจชะลอการสั่งซื้อไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์

ข่าวดีปิดท้ายก็คงต้องขอจบด้วยโอกาสการขายสินค้าผ่านช่องทาง De Minimis ที่สินค้าจากจีนยังคงต้องแบกรับภาษีที่สูงกว่าอยู่ดี เพราะถ้าสินค้ามาจากแหล่งอื่นๆ ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีอยู่ ก็หวังว่าสินค้าไทยจะเข้ามาได้ผ่านช่องทางนี้จนกว่าจะมีมาตรการที่สามารถรองรับการเรียกเก็ยภาษีจาก De Minimis ทุกชิ้นโดยสหรัฐฯ ได้สำเร็จตามที่เคยประกาศไว้

*********************************************************

ที่มา: Reuters
เรื่อง: “US slashes 'de minimis' tariff on small China parcels to as low as 30%”
โดย: Farah Master, Casey Hall และ Lisa Baertlein
สคต. ไมอามี /วันที่ 14 พฤษภาคม 2568
thThai