นาง Katherina Reiche ซึ่งเคยขึ้นเวทีกับนาย Friedrich Merz เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานคนใหม่ โดยนาย Merz หัวหน้าพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) ได้ออกมาเปิดเผยว่า “ในที่สุด…นโยบายทางเศรษฐกิจก็กำลังถูกนำมาใช้อย่างถูกต้อง” สักที ซึ่งในระหว่างการคัดเลือกตัวรัฐมนตรี Merz ค่อนข้างให้ความสำคัญกัทักษะทางอาชีพของบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่ง โดย ได้โยงการตัดสินใจในเรื่องนี้เข้ากับ “ช่วงเวลาในการทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จของ Reiche” ซึ่งตัว Reiche เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท Westenergie ที่เป็นบริษัทด้านพลังงานในระดับภูมิภาคของประเทศ ขณะนี้เรียกได้ว่า เป็นเวลาที่ Reiche ในวัย 51 ปี จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เพราะเศรษฐกิจของเยอรมนีอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ และเป็นไปได้ที่ปี 2025 เยอรมนีอาจประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยผลงานของ Reiche จะถูกตัดในที่สุดว่าหล่อนจะประสบความสำเร็จในฐานะรัฐมนตรีฯ หรือไม่ เพื่อให้การทำงานสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ Reiche จึงต้องปรับระบบโครงสร้างนโยบายด้านพลังงานของประเทศใหม่ แต่การที่ Reiche เคยเป็นอดีตผู้บริหารของบริษัทให้บริการด้านพลังงาน เธอจึงคุ้นเคยกับพื้นที่ที่เธอกำลังก้าวเข้ามานี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอยังมีงานอื่น ๆ ในกระทรวงที่ต้องรีบจัดการด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายการค้าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรป (EU) รวมไปถึงนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมตั้งแต่ขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หากพิจารณาจุดเริ่มต้นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของ Reiche จะพบว่า ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะฝ่ายกระทรวงเศรษฐกิจได้สูญเสียอำนาจส่วนหนึ่งไปแล้ว ทั้งนโยบายด้านการปกป้องสภาพภูมิอากาศ และนโยบายด้านดิจิทัลและการเดินทางในอวกาศทั้งหมด เหล่านี้ได้ถูกถ่ายโอนไปยังกระทรวงอื่น ๆ ดังนั้น อำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย EU จึงมีข้อจำกัดกว่าเดิม เมื่อเทียบสมัยของนาย Robert Habeck สังกัดพรรคยุค 90 พันธมิตรสีเขียว (Bündnis 90/Die Grünen) ซึ่งตอนนั้น Habeck ได้ควบตำแหน่งที่รองนายกรัฐมนตรีเข้าไปอีกหนึ่งตำแหน่ง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีอำนาจทางการเมืองมากก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำตามนโยบายวางไว้ได้มากนัก ดังนั้นความท้าทายของ Reiche จึงต้องจะเผชิญหน้ากับเรื่องต่าง ๆ มากมายกว่าในช่วงของ Habeck กล่าวคือ
- เดินหน้าปรับนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับจิตวิญญาณของ Erhard[1]
การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อย่างมีศักยภาพ “มากกว่า 1%” เป็นคำชี้แจงที่ กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) กับพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ยึดมั่นร่วมกันใน MOU การจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ดี เส้นทางที่จะทำให้ GDP กลับมาดีได้นั้นค่อนข้างยาวไกล และจากการคาดการณ์ในปัจจุบัน ศักยภาพที่ GDP จะขยายตัวมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงครึ่งหนึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ง่าย ๆ ดังนั้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ จึงต้องทำการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานตามจิตวิญญาณของนาย Ludwig Erhard ซึ่งเป็นบิดาหรือผู้ก่อตั้งแนวคิดเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Soziale Marktwirtschaft) โดยแนวทางที่ Reiche เลือกนี้ ได้เสียงตอบรับอย่างดีจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลาย ๆ คน โดยขั้นต้น Reiche จะปรับปรุงกระทรวงฯ ในวงกว้าง และต้องการยุติ “นโยบายการเปลี่ยนแปลง” ส่วนใหญ่ของนาย Habeck อดีตรัฐมนตรีว่าการฯ นอกจากนี้ Reiche ยังเคยเป็นสมาชิกของมูลนิธิ Ludwig Erhard ในปี 2023 ซึ่งเธอกล่าวว่า “แนวคิดและจิตวิญญาณของ Erhard มีความเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมากกว่าที่คิด” เธอมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Soziale Marktwirtschaft) และสามารถนำประสบการณ์จริงมาใช้ได้ ซึ่งนาย Stefan Kolev นักเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการ Ludwig Erhard Forum กล่าวว่า “คุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้หาได้ยากมากในเวทีการเมือง ดังนั้น Reiche น่าจะพากระทรวงฯ เข้าใกล้มรดกทางจิตวิญญาณของ Ludwig Erhard ได้มากขึ้น” ในกลุ่มสหภาพพวกเขามีความกังวลว่าพรรค SPD จะขัดขวางการปฏิรูปโครงสร้าง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางก็กำลังก่อหนี้จำนวนมหาศาล (หรือสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเยอรมัน) ซึ่งวงในรัฐบาลเห็นว่า Reiche ควรทำให้กระทรวงเศรษฐกิจฯ กลับมาขับเคลื่อนภายใต้ “จิตวิญญาณของ Ludwig Erhard ทั้งในด้านกฎระเบียบของรัฐบาลกลางชุดใหม่” อีกครั้ง
ความจริงแล้ว Reiche ตั้งใจที่จะลงมือปฏิบัตมากกว่าแค่นั่งบริหารเท่านั้น จนได้รับการชื่นชมภายในกระทรวง โดยพร้อมที่จะลดเงินเดือนของเธอ และยังต้องสละตำแหน่ง CEO ของบริษัท Westenergie รวมถึงตำแหน่งคณะกรรมการกำกับดูแลที่บริษัท Schaeffler และบริษัท Ingrid Capacity อีกด้วย ในส่วนประสบการณ์ของ Reiche ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากกระทรวงเช่นกัน โดยในปี 2015 เธอได้ก้าวออกจากการเมืองและเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของสมาคมวิสาหกิจเทศบาล (VKU) ซึ่งตอนนั้นได้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่การที่เธอกระโดดจากภาคธุรกิจสู่ภาคการเมืองในครั้งนี้ ก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไร อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ในกระทรวงฯ หลาย ๆ คนกล่าวว่า Reiche น่าจะนำประสบการณ์และรูปแบบการบริหารแบบรวดเร็วมาสู่กระทรวงฯ ได้ โดยกล่าวกันว่า รูปแบบการตัดสินใจส่วนใหญ่ของ Reiche มักอิงจากข้อเท็จจริงเป็นหลัก ผู้ที่อยู่ในวงการกล่าวว่า สามารถสัมผัสได้ถึงภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์ในฐานะนักเคมีอีกด้วย นอกจากนี้ ครอบครัวของ Reiche ก็เป็นเจ้าของบริษัท Hesco ผู้ผลิตพลาสติกรายใหญ่ของเมือง Luckenwalde มานานหลายทศวรรษ ด้านนาง Tanja Gönner กรรมการผู้จัดการสหพันธ์อุตสาหกรรมเยอรมนี (BDI – Bundesverband der Deutschen Industrie) ได้เปิดแผยต่อสำนักข่าว Handelsblatt ว่า “เราต้องการเสียงที่แข็งแกร่งและคนที่จะเป็นทนายความให้กับภาคเศรษฐกิจ ซึ่ง Reiche มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้น การก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานคนใหม่ ถือเป็นสัญญาณที่สำคัญ” กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของ Reiche อยู่ที่ เธอจะสามารถนำกรมนโยบายซึ่งเป็นกรมหมายเลขหนึ่งของกระทรวงมาใช้ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้หรือไม่ เพราะที่นั่นข้าราชการส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับนาง Reiche เชิงบวก และการมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านนโยบายด้านพลังงานของพวกเขาก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของกรมกล่าวว่า แน่นอนควรจะเร่งให้ประชาชนรับทราบว่า กระทรวงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเป็นกระทรวงพลังงานเท่านั้น แน่นอนว่า การเลือกแถวที่ 2 ของ Reiche ก็ได้รับพิจารณาเรียบร้อยแล้ว อย่างนาง Gitta Connemann จะเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ซึ่งปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร “สหภาพ SME (Mittelstandsunion)” สำหรับรัฐมนตรีช่วยอีกคน คือ นาย Stefan Rouenhoff สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค CDU ซึ่งคนนี้รู้จักกระทรวงเศรษฐกิจเป็นอย่างดีเพราะเขาเคยทำงานอยู่ที่กรม SME มาก่อน ไม่ว่าอย่างไร Reiche เองมีประสบการณ์ทางการเมืองที่แข็งแกร่ง โดยในปี 1992 เธอเข้าร่วม Junge Union (กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรุ่นใหม่ของพรรค) และดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตั้งแต่ปี 1998 – 2015 และตั้งแต่ปี 2005 – 2009 จนดำรงตำแหน่งรองหัวหน้ากลุ่ม สส. CDU ในรัฐสภา นอกจากนี้ ยังเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ ว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคมมาแล้วอีกด้วย
- จัดระเบียบการใช้พลังงาน (Energiewende)
นโยบายด้านพลังงานเป็นงานอีกอย่างหนึ่งที่ Reiche เชี่ยวชาญ โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 Reiche ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท Westenergie AG และเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอุตสาหกรรมพลังงาน บริษัท Westenergie เป็นบริษัทในเครือที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท E.ON และผู้รวบรวมกิจการในระดับภูมิภาคทั้งหมดของกลุ่มพลังงานในเยอรมนีตะวันตก โดยให้บริการไฟฟ้าและก๊าซแก่ประชากรกว่า 8 และ 4.8 ล้านคน ตามลำดับ ปัจจุบันผู้ที่ทำงานในวงการนี้ หวังว่า Reiche จะนำรูปแบบการทำงานจากประสบการณ์จริงเข้ามาใช้ โดย Reiche ต้องทำให้โครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ที่รัฐบาลชุดก่อนได้ทำไว้แล้วนำมาปรับปรุง/แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ควรเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงาน (Energiewende) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่หลงลืมเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งการสร้างโรงไฟฟ้าสำรองเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเป็นเวลา 3 ปีแล้ว ที่รัฐบาลชุดก่อนพยายาม “พัฒนากลยุทธ์โรงไฟฟ้า” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการก่อสร้างขึ้น แต่โครงการนี้กลับล้มเหลว ดังนั้น ความกดดันเรื่องเวลาจึงเพิ่มมากขึ้น โรงไฟฟ้าที่ในช่วงแรกจะใช้ก๊าซธรรมชาติ และปรับมาใช้ไฮโดรเจน และจะเปิดใช้งานทุกครั้งที่การผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Reiche ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เธอมองเห็นภาพการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนที่ริเริ่มโดยนาย Habeck อดีตรัฐมนตรีฯ ไว้อย่างชัดเจน โดยนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เธอได้ดำรงตำแหน่งหนึ่งในประธานสภาไฮโดรเจนแห่งชาติของรัฐบาลกลางเยอรมัน ในช่วงเริ่มต้นของบทบาทนี้ Reiche ได้วิพากษ์วิจารณ์แนวทางการจัดหาเงินทุน EU เพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจไฮโดรเจนว่า มีความซับซ้อนเกินไป โดย Reiche จะเปลี่ยนแปลงระบบการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง กฎหมายว่าด้วยเรื่องพลังงานทางเลือก (EEG – Erneuerbare-Energien-Gesetz) ซึ่งรับประกันราคาไฟฟ้าแบบคงที่เป็นเวลา 20 ปี นั้นก็ได้รับการอนุมัติภายใต้กฎหมายความช่วยเหลือของรัฐให้สามารถใช้ได้ถึงสิ้นปี 2026 เท่านั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการมุ่งเน้นการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนผ่าน “การบูรณาการเครื่องมือตามกลไกตลาดเพิ่มมากขึ้น” ดังนั้น Reiche จะต้องเตรียมรับมือกับกลุ่มล็อบบี้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่มีอำนาจมากแน่นอน
- การรวมนโยบายอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมในฐานะภาคเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของเยอรมนีกำลังเผชิญกับวิกฤตในการหาตัวตนและจุดยื่นของตน แนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจตั้งใจจะดำเนินการเพื่อหยุดยั้งวิกฤตนี้อาจเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุด โดย Reiche จะยังคงดำเนินตามแนวทางของ Habeck ต่อไป ซึ่งในข้อตกลงร่วมรัฐบาล CDU/CSU และ SPD ได้ประกาศรวมกลุ่มโครงการเงินทุนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ไม่จะรื้อถอนนโยบายอุตสาหกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันแนวร่วม CDU/CSU และ SPD ยังคงต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมหลัก (Key Industries) ที่สำคัญอีกด้วย นาง Reiche จะต้องหาแนวทางที่ไม่น่าจะล้มเหลวโดยรวม อย่างความล้มเหลวของการอุดหนุนรายบริษัท สำหรับบริษัท Intel และบริษัท Northvolt แต่ในเวลาเดียวกัน Reiche ต้องไม่ปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีอยู่ตามลำพังที่ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันระดับโลกที่รุนแรง นาง Gönner ผู้บริหาร BDI กล่าวว่า “เราหวังว่า รัฐบาลชุดนี้จะดำเนินการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่วันแรก โดยภาคอุตสาหกรรมพร้อมที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และแน่นอนที่ฉันอยากรู้ว่ารัฐมนตรีจะกำหนดลำดับความสำคัญอย่างไร” โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกรมนโยบายอุตสาหกรรมกล่าวว่า “ผมถือว่า จากประสบการณ์ทางธุรกิจของเธอ เธอน่าเข้าใจความต้องการของอุตสาหกรรมดี” ในช่วงต้นปี 2023 ในงานเพื่อเป็นเกียรติแก่นาย Erhards นาง Reiche ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า แนวคิดใดบ้างที่จะช่วยนำทางเธอในด้านนโยบายอุตสาหกรรม ดุลอำนาจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง และเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลตอบสนองจะมีมากขึ้น ทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกา “แต่แนวทางเหล่านี้ขัดแย้งกับแนวคิดของระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีที่เปิดกว้างโดยสิ้นเชิง”
จาก Handelsblatt 16 พฤษภาคม 2568
[1] Ludwig Erhard เป็นรัฐบุรุษชาวเยอรมัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจคนแรก และนายกรัฐมนตรีคนที่สองของเยอรมนีตะวันตก