ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 นี้ โปแลนด์จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ แทนประธานาธิบดี Andrzej Duda ซึ่งกำลังจะครบวาระ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายสูง ทั้งเรื่องที่ยุโรปต้องรับมือกับรัสเซียตามลำพัง และเรื่องสถานการณ์ความไม่แน่นอนและภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของประเทศจากนโยบายทรัมป์

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของโปแลนด์ที่กำลังจะมีขึ้น ไม่ยุ่งยากซับซ้อนแบบการเลือกตั้งรัฐสภา โดยแบ่งออกเป็น 2 รอบ รอบที่ 1 ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 หากมีผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง (50%) ของผู้มาใช้สิทธิ ผู้สมัครที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้เป็นประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม หากไม่มีผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง (50%) ในการโหวดรอบแรก จะต้องจัดโหวตรอบที่ 2 ให้แก่ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด 2 อันดับแรก ภายใน 14 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน 2568

 

ในการเลือกตั้งรัฐสภาล่าสุด เมื่อเดือนตุลาคม 2566 พรรค Laws and Justice (PiS) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและเป็นพรรคของประธานาธิบดี Andrzej Duda แม้ว่าจะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร (Sejm) มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เนื่องจากได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจจากสมาชิก Sejm ไม่ถึงครึ่ง พรรคฝ่ายค้านเดิมจึงรวบรวมเสียงเสนอชื่อ นาย Donald Tusk จากพรรค Civic Platform (PO) เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจเกินครึ่งหนึ่ง จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่สาบานตนเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ทำให้โปแลนด์มีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองคนละขั้วกัน

 

แม้ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีของโปแลนด์ ซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐ จะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการบริหารประเทศโดยตรง ส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เข้าร่วมงานพิธีการต่างๆ ในเชิงสัญลักษณ์ และต้อนรับอาคันตุกะต่างประเทศ แต่ประธานาธิบดีโปแลนด์ก็มีอำนาจอันสำคัญในการยับยั้งหรือสนับสนุนร่างกฎหมายและนโยบายที่ฝ่ายบริหารเสนอต่อรัฐสภา สำหรับโปแลนด์แล้ว การมีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองคนละขั้วจึงถือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนโยบายของนายกรัฐมนตรี Donald Tusk ที่เน้นการพัฒนาและปรับเปลี่ยนโปแลนด์ให้สอดคล้องเป็นไปตามมาตรฐานของอียูมากที่สุด ในขณะที่ ประธานาธิบดี Andrzej Duda จากพรรค Laws and Justice (PiS) จะมีนโยบายอนุรักษ์นิยม และต่อต้านนโยบายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับ EU เช่น EU Green Deal ในช่วงที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Andrzej Duda จึงได้ใช้อำนาจในการยับยั้งกฎหมายและนโยบายของฝ่ายรัฐบาลอยู่เสมอ

 

ขณะนี้ ยังยากที่จะคาดเดาถึงผลการเลือกตั้ง แต่จากผลสำรวจล่าสุด นาย Rafał Trzaskowski จากพรรค Civic Platform (PO) มีคะแนนนำ โดยนาย Rafał Trzaskowski ปัจจุบันเป็นนายกเทศมนตรีกรุงวอร์ซอ เคยลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2563 แต่แพ้ประธานาธิบดี Andrzej Duda ในการโหวตรอบ 2

 

คู่แข่งสำคัญของนาย Rafał Trzaskowski ได้แก่ นาย Karol Nawrocki นักประวัติศาสตร์ ประธานสถาบัน Institute of National Remembrance ผู้สมัครอิสระ แต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรค PiS และนาย Sławomir Mentzen จากพรรค ขวาสุดโต่ง Confederation ผู้เป็นม้ามืดที่มีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นตามนาย Karol Nawrocki มาติดๆ

 

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ จะเป็นแรงส่งสำคัญที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่โปแลนด์กำลังเผชิญอยู่ก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์การเมืองหลายฝ่ายมองว่าผลการโหวตในรอบแรก อาจไม่มีผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งและต้องจัดให้มีการโหวตในรอบที่ 2 ต่อไป ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

 

ข้อมูลเพิ่มเติม/ข้อคิดเห็นของสคต.
1. ประเด็นหาเสียงของผู้สมัครส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ สถานการณ์สู้รบในยูเครน นโยบายทรัมป์ และปัญหาผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองหลายหมื่นคนจากชายแดนเบลารุส
2. เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงในกรุงวอร์ซอ เพื่อต่อต้านผู้อพยพที่เข้ามาในประเทศ ซึ่งโปแลนด์ถูกใช้เป็นทางผ่านของผู้อพยพชาวตะออกกลาง เอเชีย และแอฟริกา ไปยังประเทศเชงเก้นอื่นๆ โดยความช่วยเหลือของรัสเซียและเบลารุส

 

ที่มา: notesfrompoland.com

thThai