น้ำมันปาล์ม ได้กลายเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคในประเทศจีน ด้วยคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่โดดเด่น เช่น จุดเกิดควันสูง (Smoke Point) ความเสถียรในการให้ความร้อนและราคาที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่น น้ำมันปาล์มจึงเป็นทางเลือกหลักในกระบวนการผลิตอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเครื่องสำอางหลากหลายประเภท แม้ว่าจีนจะมีการปลูกปาล์มน้ำมันภายในประเทศ โดยเฉพาะในบางพื้นที่ของมณฑลไห่หนาน ยูนนาน กว่างตุ้งและกว่างสี แต่ด้วยข้อจำกัดด้านภูมิอากาศและพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสม ทำให้ผลผลิตน้ำมันปาล์มภายในประเทศมีปริมาณต่ำมาก โดยจีนสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้เพียงประมาณ 600,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึงร้อยละ 5 ของปริมาณความต้องการบริโภคทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ราว 7–8 ล้านตันต่อปี ดังนั้น จีนจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก
เหตุผลที่จีนนิยมใช้น้ำมันปาล์ม
สาเหตุสำคัญที่ประเทศจีนมีการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง มาจากการที่น้ำมันปาล์มมีคุณสมบัติทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และเทคโนโลยีอาหารที่เหมาะสมกับบริบทการผลิตและบริโภคของจีน
ประการแรก น้ำมันปาล์มมีต้นทุนการนำเข้าต่อหน่วยต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันคาโนลา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปที่เน้นการผลิตในปริมาณมากและควบคุมต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีราคาจำหน่ายระดับกลางถึงล่าง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวหรืออาหารพร้อมรับประทาน
ประการที่สอง น้ำมันปาล์มมีเสถียรภาพทางเคมีสูง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้อุณหภูมิสูงในการทอดหรือผัด ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพร่หลายในอาหารจีน น้ำมันปาล์มสามารถทนความร้อนได้โดยไม่สลายตัวหรือเกิดควันง่าย (Smoke Point สูง) อีกทั้งยังมีความทนต่อการเกิดออกซิเดชัน (oxidation) จึงไม่เหม็นหืนหรือเสื่อมคุณภาพง่ายเมื่อเก็บรักษาหรือใช้งานต่อเนื่อง ทำให้เหมาะสมกับการใช้ในครัวเชิงพาณิชย์และโรงงานผลิตอาหารที่ต้องการความเสถียรของวัตถุดิบ
ประการที่สาม คุณสมบัติทางกายภาพของน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะในรูปของน้ำมันปาล์มข้น (palm stearin) และน้ำมันปาล์มเหลว (palm olein) สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายทั้งในอาหารและผลิตภัณฑ์ไม่ใช่อาหาร น้ำมันปาล์มช่วยเพิ่มความกรอบให้กับผลิตภัณฑ์ทอด เพิ่มความเนียนนุ่มให้กับขนมอบและยังสามารถใช้ทดแทนไขมันสัตว์หรือเนยในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น เค้ก คุกกี้ และเนยเทียม ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดจีนที่มีผู้บริโภคจำนวนมากต้องการสินค้าราคาประหยัดแต่มีคุณภาพด้านรสสัมผัส
น้ำมันปาล์มและน้ำมันเมล็ดในปาล์มมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหาร กว่าร้อยละ 80 ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักในสินค้าต่างๆ เช่น น้ำมันปรุงอาหาร ไขมันสำหรับเบเกอรี่ ครีมเทียม ไอศกรีม และผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร เช่น วิตามินเอและอี ที่สกัดจากน้ำมันปาล์มซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการ ในด้านอุตสาหกรรม น้ำมันปาล์มสามารถปรับแต่งคุณสมบัติ เช่น จุดหลอมเหลว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการไขมันที่เสถียรต่ออุณหภูมิเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์อย่างมาการีน ครีมเทียม และอาหารกึ่งแช่แข็ง ซึ่งโดยเฉพาะในจีนมี การบริโภคสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้น จุดเด่นของน้ำมันปาล์มที่ทำให้ได้รับความนิยมต่อเนื่องคือ ต้นทุนต่ำความหลากหลายในการแปรรูปและความทนทานต่อการให้ความร้อนซ้ำ ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคจีนที่เน้นสินค้าราคาคุ้มค่าแต่ยังคงรักษาคุณภาพ ทำให้น้ำมันปาล์มยังคงเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของจีน
การนำเข้าน้ำมันปาล์มของจีน ประเภทน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มดิบ (HS Code 151321) ปี 2567
สถิติการนำเข้าของจีน ผลิตภัณฑ์: 151321 (น้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มดิบ) |
||||||||
มูลค่า: รายปีถึงปี 2567 | ||||||||
อันดับ | คู่ค้า | มูลค่านำเข้า (หน่วย : USD) | สัดส่วน | การเปลี่ยนแปลง
ร้อยละ 2567/2566 |
||||
2565 | 2566 | 2567 | 2565 | 2566 | 2567 | |||
โลก | 125,343,980 | 55,104,099 | 73,220,660 | 100.00 | 100.00 | 100.00 | 32.88 | |
1 | มาเลเซีย | 114,822,745 | 52,097,519 | 61,800,532 | 91.61 | 94.54 | 84.40 | 18.62 |
2 | ไทย | 2,454,986 | 2,749,506 | 10,934,407 | 1.96 | 4.99 | 14.93 | 297.69 |
3 | เมียนมา | – | – | 390,000 | – | – | 0.53 | – |
4 | ฟิลิปปินส์ | – | 253,512 | 95,676 | – | 0.46 | 0.13 | -62.26 |
5 | บราซิล | – | 3,562 | 45 | – | 0.01 | 0.00 | -98.74 |
ที่มาของข้อมูล: กรมศุลกากรจีน |
มูลค่าการนำเข้าทั่วโลกในปี 2567 อยู่ที่ 73.22 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.88 เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่อยู่ที่ 55.10 ล้านเหรียญสหรัฐ) ประเทศที่จีนมีการนำเข้าในปี 2566 ได้แก่ มาเลเซีย ไทย เมียนมา ฟิลิปปินส์ และบราซิล
มาเลเซีย ยังคงเป็นผู้ส่งออกรายหลักของจีน โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออก 61.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 18.62 แม้ยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด แต่สัดส่วนลดลงจากร้อยละ 94.54 เหลือ 84.40 สะท้อนว่าคู่แข่งรายใหม่ โดยเฉพาะไทย เริ่มเข้ามาแบ่งตลาด
ไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออก 10.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 297.69 จากปี 2566 ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจากร้อยละ 4.99 เป็น 14.93 แสดงถึงศักยภาพการแข่งขันด้านราคา คุณภาพ และการตอบสนองตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมียนมา ส่งออกมายังจีนเป็นครั้งแรกในปี 2567 ด้วยมูลค่า 390,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 0.53 ของตลาด แม้ยังน้อย แต่มีแนวโน้มเติบโตได้จากข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ต้นทุนต่ำและโอกาสภายใต้ความร่วมมือ BRI
ฟิลิปปินส์ สูญเสียตลาดจีนอย่างชัดเจน โดยยอดส่งออกลดลงจาก 253,512 เหรียญสหรัฐในปี 2566 เหลือ 95,676 เหรียญสหรัฐในปี 2567 อัตราลดลงร้อยละ 62.26 สะท้อนปัญหาด้านต้นทุน คุณภาพ และโลจิสติกส์
บราซิล มียอดส่งออก 3,562 เหรียญสหรัฐในปี 2566 เหลือ 45 เหรียญสหรัฐในปี 2567 ลดลงร้อยละ 98.74 สะท้อนข้อเสียเปรียบด้านต้นทุน ระยะทางและมาตรฐานสุขอนามัย
การนำเข้าน้ำมันปาล์มของจีน ประเภทน้ำมันปาล์มอื่นๆ ที่ผ่านการกลั่นแต่ไม่ได้ดัดแปลงทางเคมี (HS Code 151190) ปี 2567
สถิติการนำเข้าของจีน ผลิตภัณฑ์: 151190 (ประเภทน้ำมันปาล์มอื่นๆ ที่ผ่านการกลั่นแต่ไม่ได้ดัดแปลงทางเคมี ) |
||||||||
มูลค่า: รายปีถึงปี 2567 | ||||||||
อันดับ | คู่ค้า | มูลค่านำเข้า (หน่วย : USD) | สัดส่วน | การเปลี่ยนแปลง
ร้อยละ 2567/2566 |
||||
2565 | 2566 | 2567 | 2565 | 2566 | 2567 | |||
โลก | 5,839,451,912 | 5,099,686,022 | 3,383,926,953 | 100.00 | 100.00 | 100.00 | -33.64 | |
1 | อินโดนีเซีย | 3,958,493,547 | 3,877,634,170 | 2,238,193,712 | 67.79 | 76.04 | 66.14 | -42.28 |
2 | มาเลเซีย | 1,875,679,426 | 1,216,403,913 | 1,136,371,751 | 32.12 | 23.85 | 33.58 | -6.58 |
3 | เมียนมา | 859,695 | 2,554,275 | 3,683,902 | 0.01 | 0.05 | 0.11 | 44.22 |
4 | ฟิลิปปินส์ | 1,918,692 | 725,754 | 3,376,682 | 0.03 | 0.01 | 0.10 | 365.27 |
5 | ไทย | 1,370,319 | 1,321,345 | 1,402,533 | 0.02 | 0.03 | 0.04 | 6.14 |
ที่มาของข้อมูล: กรมศุลกากรจีน |
มูลค่านำเข้ารวมจากทุกประเทศ ในปี 2567 อยู่ที่ 3.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 33.64 จากปี 2566
อินโดนีเซีย ผู้นำตลาดที่ได้รับผลกระทบหนัก แม้ยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของจีนในหมวด น้ำมันปาล์ม (HS Code 151190) แต่ในปี 2567 มูลค่าส่งออกของอินโดนีเซียลดลงเหลือ 2.24 พันล้าน เหรียญสหรัฐ (-42.28%) ขณะที่สัดส่วนตลาดลดจากร้อยละ 76.04 เหลือ 66.14 สะท้อนแนวโน้มที่จีนลดการพึ่งพาแหล่งเดียว
มาเลเซีย รักษาส่วนแบ่งท่ามกลางตลาดหดตัวมูลค่าส่งออกลดลงเล็กน้อยเหลือ 1.14 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 6.58) แต่สัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 23.85 เป็น 33.58 แสดงถึงความสามารถในการรักษาเสถียรภาพและตอบสนองตลาดจีนได้ดี
เมียนมา เติบโตต่อเนื่องจากฐานที่เล็ก ในปี 2567 เมียนมามีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.22 อยู่ที่ 3.68 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้สัดส่วนตลาดยังเล็ก (ร้อยละ 0.11) แต่สะท้อนศักยภาพในการขยายบทบาทในตลาดจีน
ฟิลิปปินส์ เติบโตเร็วที่สุด ส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 365.27 เป็น 3.38 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 จากฐานที่เล็ก แสดงถึงการกลับเข้าสู่ตลาดจีนอีกครั้งและมีศักยภาพในการขยายตัวหากรักษาคุณภาพและต้นทุนได้
ไทย ขยายตัวอย่างมั่นคง ไทยมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.14 เป็น 1.40 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนตลาดอยู่ที่ร้อยละ 0.04 สะท้อนแนวโน้มที่มั่นคงและโอกาสในการเติบโตหากได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง
ข้อเสนอแนะ สคต. ณ นครเฉิงตู
จีนยังคงเป็นผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยพึ่งพาการนำเข้ากว่าร้อยละ 90 ของความต้องการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ครองส่วนแบ่งการตลาดร่วมกันมากกว่าร้อยละ 85 แต่แนวโน้มล่าสุดในปี 2567 กำลังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เมื่อจีนเริ่มกระจายแหล่งนำเข้าเพื่อลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเห็นได้จากข้อมูลของ China Customs ที่แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มดิบ (HS Code 151321) จากไทยพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 297.69 ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการเป็นแหล่งผลิตทางเลือกที่สำคัญ แม้ว่าไทยจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับสามของโลก แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านปริมาณผลผลิตที่แปรปรวนจากปัญหาภัยแล้งและโรคพืช รวมถึงความ ท้าทายในการสร้างการรับรู้แบรนด์ในตลาดจีนที่ยังคงคุ้นเคยกับน้ำมันปาล์มจากมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่า เพื่อคว้าโอกาสในตลาดจีนที่กำลังเติบโต ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มแปรรูปเฉพาะทาง เช่น น้ำมันปาล์มสำหรับอุตสาหกรรมเบเกอรี่และครีมเทียมที่มีจุดหลอมเหลวเหมาะสม หรือน้ำมันปาล์มปลอดทรานส์ไขมันที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองระดับสองและสามที่กำลังขยายตัว พร้อมทั้งต้องให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพของน้ำมันปาล์มไทยผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์ม Alibaba และ WeChat เพื่อเข้าถึงผู้ซื้อในกลุ่ม B2B
ทั้งนี้ ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ในการลดภาษีนำเข้า จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย นอกจากนี้ การมุ่งเน้นการตลาดสู่กลุ่ม HORECA (โรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่) และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของจีนที่กำลังขยายตัว จะเป็นกลยุทธ์สำคัญ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้มีความต้องการน้ำมันปาล์มคุณภาพสูงสำหรับการผลิตอาหารทอดฟาสต์ฟู้ดและเบเกอรี่อย่างต่อเนื่อง โดยไทยอาจพิจารณาร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายในจีนเพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและปรับสูตรน้ำมันปาล์มให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตลาดจีน เช่น อาหารแช่แข็งที่ต้องทนความร้อนสูง ในอนาคตจีนมีแนวโน้มที่จะยังคงพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหาความหลากหลายของแหล่งที่มาและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญในตลาดจีนได้
———————————–
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
พฤษภาคม 2568
แหล่งข้อมูล
https://www.cpi-th.com/th/productlistpalm?type=7&case=plam https://asianpalmoil.com/our-products/crude-palm-oil/ https://connect.ihsmarkit.com/gta/standard-reports/