นายกใหม่แคนาดาพบประธานาธิบดีทรัมป์ หวังยุติสงครามการค้า

หลังจาก ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาต่อเพียงหนึ่งสัปดาห์ นายมาร์ค คาร์นีย์ เริ่มปฏิบัติภารกิจที่สำคัญในการเข้าพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
โดณ ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของสองฝ่าย แม้การพูดคุยจะไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นสงครามการค้าและการยกเลิกภาษีนำเข้า แต่ผู้นำทั้งสองคนสามารถประคองบทสนทนาให้เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นมิตร โดยไร้ความขัดแย้งต่อหน้าสื่อมวลชน โดยทรัมป์ได้แสดงความพอใจกับการพบปะครั้งนี้ และกล่าวชื่นชมนายคาร์นีย์ และเรียกการพบกันว่า “เป็นก้าวที่ดีของแคนาดา”

นายคาร์นีย์เปิดเผยว่าการหารือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ หลังจากที่ทั้งสองประเทศเผชิญความตึงเครียดจากมาตรการทางการค้าของรัฐบาลทรัมป์ โดยระบุว่าการพบปะครั้งนี้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ และนำไปสู่การพูดคุยเพิ่มเติมในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงยืนยันจุดยืนไม่ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าแคนาดา ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก อลูมิเนียม หรือยานยนต์ พร้อมระบุว่าเขาไม่แน่ใจว่าความตกลงการค้า USMCA ยังคงจำเป็นอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังกล่าวว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในแคนาดาเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

ประเด็นการหารือที่ได้รับความสนใจพิเศษ ต่อหน้าสื่อมวลชน คือการที่ทรัมป์กล่าวต่อหน้าคาร์นีย์ว่า “แคนาดาควรเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ” ซึ่งนายคาร์นีย์ตอบโต้ด้วยท่าทีหนักแน่นว่า แคนาดาจะไม่มีวันที่จะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ พร้อมเสริมว่า “โอกาสอยู่ที่ความร่วมมือ ไม่ใช่การควบรวม” พร้อมชี้ว่าความร่วมมือในฐานะพันธมิตรจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรวมประเทศ

ในการพูดคุยเป็นการภายใน ทั้งสองผู้นำได้หารือประเด็นสำคัญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น ความขัดแย้งในยูเครน อิหร่าน จีน และฉนวนกาซา นอกจากนี้ ยังมีการหารือเชิงลึกเกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติดโดยเฉพาะเฟนทานิล ซึ่งเป็นปัญหาที่ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญ รวมถึงความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ โดยเฉพาะในเขตอาร์กติก ซึ่งบรรยากาศของการประชุมแตกต่างไปจากการพบหารือกับสมัยนายจัสติน ทรูโด

แม้จะไม่มีความคืบหน้าชัดเจนในประเด็นการค้าหรือยกเลิกการตอบโต้ทางภาษี แต่นายคาร์นีย์ระบุว่าเขารู้สึกเชิงบวกที่นายทรัมป์ยังเปิดกว้างสำหรับการเจรจาต่อไป พร้อมยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกันอีกครั้งในการประชุม G7 ที่แคนาดาจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจบการพบหารือทรัมป์กล่าวชื่นชมผู้นำแคนาดา และย้ำว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ยังคงเป็นมิตรกับแคนาดาเสมอ”

นอกจากนี้ นายคาร์นีย์ เปิดเผยหลังการหารือว่าแคนาดามีความจำเป็นต้องสร้างสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง เพื่อให้ธุรกิจของแคนาดาสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกเพื่อเป็นการลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ต่อไป รวมทั้งการยกเลิกอุปสรรคทางการค้าระหว่างรัฐ ในประเทศแคนาดาเองด้วย

 

ความคิดเห็น สคต.

ปัจจุบันแคนาดาถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 25 ในสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม ยานยนต์ที่ผลิตในแคนาดา (ในส่วนที่ไม่ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐฯ) และร้อยละ 10 ในปุ๋ยโพแทช แร่สำคัญ และพลังงานที่ไม่อยู่ภายใต้ความตกลง USMCA ซึ่งแคนาดาหวังว่าการพบหารือครั้งนี้จะนำไปสู่การยกเลิกภาษีข้างต้น แต่การหารือยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใหม่หรือเปลี่ยนท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ต่อการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแคนาดาได้ อย่างไรก็ดี การพบปะหารือกันครั้งแรกของสองผู้นำจากแคนาดาและสหรัฐฯ เป็นโอกาสในการพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ หลังเผชิญความตึงเครียดจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กดดันแคนาดาในช่วงที่ผ่านมา โดยนายคาร์นีย์สามารถสร้างบรรยากาศการเจรจาที่เปิดกว้าง และได้รับคำยืนยันจากทรัมป์ว่าจะมีการหารือเพิ่มเติม รวมถึงการพบหารืออีกครั้งในการประชุม G7 ที่แคนาดาจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายน 2568 โดยประเด็นที่น่าจับตา คือ อนาคตของข้อตกลง USMCA ซึ่งจะครบกำหนดต้องทบทวนในปี 2569 และความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐฯ เม็กซิโก และแคนาดา โดยสงครามการค้าของสหรัฐฯ และแคนาดา อาจสร้างโอกาสการค้าใหม่ๆ ให้กับไทย ในการเป็นห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้กับแคนาดา (ทดแทนสหรัฐฯ) อาทิ ในสินค้าข้าว ซึ่งในอดีต ข้าวที่บริโภคและจำหน่ายในแคนาดาส่วนใหญ่นำเข้าหลักจากสหรัฐฯ แต่หลังจากสงครามการค้า เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ แคนาดาเก็บภาษีนำเข้าสินค้าข้าวจากสหรัฐฯ จากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 25 ทำให้ผู้นำเข้าแคนาดาได้รับผลกระทบอย่างมาก และหันมาสนใจนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวนึ่ง (parboiled rice) นอกจากนี้ ผู้นำเข้าแคนาดามองว่าหากผู้บริโภคคุ้นชินและพอใจกับคุณภาพข้าวนึ่งของไทยสักพักหนึ่งแล้ว ผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนหันมาบริโภคข้าวนี่งไทยอย่างถาวร (Product Switching)

โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)

*****************************************

thThai