ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนนิยมสูงที่สุดในชีวิตทางการเมืองและกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจล่าสุดในเดือนเมษายนของ CNN ที่จัดทำโดย SSRS กลับพบว่าเมื่อใกล้ครบ 100 วันของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชาวอเมริกันกลับมีทัศนคติเชิงลบเป็นอย่างมากต่อผลงานที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการมาจนถึงตอนนี้
CNN ร่วมกับบริษัทวิจัย SSRS จัดทำผลสำรวจคะแนนความนิยมประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างวันที่ 17-24 เมษายน 2025 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอเมริกัน 1,678 คนทั่วประเทศ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเป้าหมายผ่านการสัมภาษณ์ทางออนไลน์และทางโทรศัพท์ ทั้งจากกลุ่มออนไลน์ที่สุ่มตัวอย่างและจากการลงทะเบียน ผลสำรวจครั้งนี้มีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่บวก/ลบ 2.9 จุดเปอร์เซ็นต์
จากผลสำรวจของ CNN พบว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนิยมอยู่ที่ 41% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดสำหรับประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง นับตั้งแต่อดีตในสมัยของประธานาธิบดี Dwight Eisenhower ในปี 1953 และคะแนนนิยมรอบนี้ยังต่ำกว่าคะแนนช่วง 100 วันแรกในสมัยแรกของตัวทรัมป์เองด้วย
คะแนนความนิยมต่อการทำหน้าที่ประธานาธิบดีของทรัมป์ลดลง 4 จุดจากเดือนมีนาคม 2025 และลดลง 7 จุดเมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มีเพียง 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่ระบุว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิธีการทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขระดับต่ำที่สุด และมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงถึงประมาณสองเท่าหรือ 45%
ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์สูญเสียคะแนนนิยมจากกลุ่มผู้หญิงและชาวอเมริกันเชื้อสาย
ฮิสแปนิกอย่างเห็นได้ชัด (ลดลง 7 จุดในแต่ละกลุ่ม เหลือเพียง 36% ในกลุ่มผู้หญิง และ 28% ในกลุ่มฮิสแปนิก) และหากแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามอุดมการณ์ทางการเมือง จากผลการสำรวจพบว่ายังคงมีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน โดย 86% ของผู้ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันยังคงสนับสนุนทรัมป์ ในขณะที่ 93% ของผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ นอกจากนี้ คะแนนนิยมของทรัมป์ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งอิสระ (independents) ลดลงเหลือ 31% ซึ่งเท่ากับระดับต่ำสุดของทรัมป์ในสมัยแรก และใกล้เคียงกับระดับคะแนนที่เคยมีในเดือนมกราคม 2021
ผลสำรวจพบว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีคะแนนนิยมติดลบในเกือบทุกประเด็นสำคัญที่เขาพยายามผลักดันและปรับปรุงระหว่างการดำรงตำแหน่ง โดยความเชื่อมั่นของประชาชนต่อความสามารถของเขาในการจัดการกับปัญหาเหล่านั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง
คะแนนนิยมของทรัมป์ในประเด็นเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม หลังจากการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าซึ่งทำให้ตลาดหุ้นผันผวนและก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยคะแนนความนิยมในประเด็นภาษีศุลกากรลดลง 4 จุด เหลือ 35% คะแนนนิยมในด้านเงินเฟ้อ ลดลง 9 จุด เหลือ 35% เช่นกัน นอกจากนี้ ความนิยมในการบริหารเศรษฐกิจโดยรวมลดลง 5 จุด เหลือเพียง 39% ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ (โดยเคยแตะระดับนี้มาแล้วหนึ่งครั้งในสมัยแรก และอีกครั้งในเดือนมีนาคมนี้) ทั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 52% ที่ระบุว่ามีความเชื่อมั่นในความสามารถของทรัมป์ในการจัดการเศรษฐกิจ ซึ่งลดลง 13 จุดจากผลสำรวจของ CNN ในเดือนธันวาคม ปี 2024
หญิงวัย 55 ปีจากเวอร์จิเนีย (ขอไม่เปิดเผยชื่อ) ทำงานให้รัฐบาลกลางมากว่าสองทศวรรษ กล่าวว่า“ฉันรู้สึกผิดหวัง ฉันไม่ได้เลือกเขา แต่ฉันก็พยายามให้โอกาสเขา เพราะคิดว่าเขาน่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเศรษฐกิจได้ แต่ก็กลับยิ่งผิดหวังไปใหญ่”
หลังจากความพยายามในการปรับโครงสร้างกำลังคนของรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีทรัมป์ก็สูญเสียคะแนนนิยมในด้านการบริหารงานรัฐบาลกลาง มีเพียง 42% ที่เห็นด้วยกับการบริหารรัฐบาลของทรัมป์ (โดยคะแนนลดลง 6 จุดจากเดือนมีนาคม) และมีเพียง 46% เท่านั้นที่เชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์สามารถแต่งตั้งบุคลากรที่เหมาะสมที่สุดเข้าดำรงตำแหน่งได้ โดยน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง (43% คะแนนลดลง 8 จุดจากเดือนธันวาคม) มองว่าการกระทำของทรัมป์เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในรัฐบาล ขณะที่ส่วนใหญ่ (57%) กล่าวว่าแนวทางของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีกำลังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
นาย Derek Steinmetz สมาชิกพรรคเดโมแครตจากเมืองวอวาโตซา รัฐวิสคอนซิน กล่าวว่าเขากังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการไม่เคารพต่อกฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม และโครงสร้างของรัฐบาลของทรัมป์ “มันน่าเป็นห่วงตั้งแต่สมัยแรกแล้ว แต่รอบนี้มันแย่กว่ามาก เพราะแทบไม่มีมาตรการป้องกันอะไรเหลืออยู่แล้ว”
ส่วนในด้านนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการแสดงท่าทีที่เป็นมิตรกับรัสเซียในสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการยุติโครงการช่วยเหลือต่างประเทศหลายโครงการ ก็ได้รับเสียงคัดค้านจากคนส่วนใหญ่เช่นกัน (39% เห็นด้วย 60% ไม่เห็นด้วย) มีเพียงครึ่งหนึ่งหรือ 50% ของผู้ตอบแบบสำรวจที่ระบุว่ามีความเชื่อมั่นในความสามารถของทรัมป์ในการบริหารจัดการนโยบายต่างประเทศ ซึ่งลดลงจาก 55% ก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่ง
แม้แต่ในเรื่องคนเข้าเมือง ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในจุดแข็งของทรัมป์ ผลสำรวจล่าสุดพบว่าคะแนนนิยมในเรื่องนี้ลดลงเช่นกัน โดยปัจจุบัน 45% เห็นด้วย (ลดลง 6 จุดจากเดือนมีนาคม) และ 53% แสดงความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา (ลดลงจาก 60% เมื่อเดือนธันวาคม)
มีเพียงประเด็นเดียวที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมในเชิงบวกในการสำรวจครั้งนี้ นั่นคือการจัดการเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศและบุคคลข้ามเพศ โดยมีผู้เห็นด้วย 51% ในการจัดการประเด็นดังกล่าว
นาง Lisa Munson คุณแม่ลูกสามจากรัฐแมรีแลนด์ที่ลงคะแนนให้ทรัมป์กล่าวเมื่อถูกถามถึงสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดของทรัมป์ “ฉันดีใจมากที่เขาประกาศว่ามีแค่เพศชายและเพศหญิงเท่านั้น ฉันดีใจมากที่เขาออกกฎหมายเรื่องนี้ ว่ามีแต่ชายและหญิง ไม่มีการแบ่งแยก”
ความพยายามของทรัมป์ในการบริหารนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อเมริกันก็ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก โดย 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าการกระทำบางอย่าง เช่น การยึดอำนาจควบคุมศูนย์ศิลปะการแสดงเคนเนดีและการพยายามเปลี่ยนแปลงนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ของสถาบันสมิธโซเนียนนั้นไม่เหมาะสม ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้มอบหมายบางส่วนให้รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เป็นผู้ดำเนินการ
รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์มีคะแนนนิยม 41% เท่ากันกับประธานาธิบดีทรัมป์ในการสำรวจครั้งนี้ โดย 58% ไม่เห็นด้วย ทั้งทรัมป์และแวนซ์ต่างก็ไม่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ โดยมีเพียง 40% ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อทรัมป์ และ มีเพียง 34% ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อแวนซ์
โดยรวมแล้ว ความเชื่อมั่นของประชาชนว่าทรัมป์จะใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างมีความรับผิดชอบและจะเป็นผู้นำที่แท้จริงให้กับประเทศได้ลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา จากการสำรวจครั้งนี้มีเพียง 46% ที่เชื่อมั่นว่าทรัมป์จะใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างมีความรับผิดชอบ (ลดลง 8 จุด) และมีเพียง 50% เห็นด้วยว่าทรัมป์จะเป็นผู้นำที่แท้จริงให้กับประเทศ (ลดลง 9 จุด) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายและแนวทางปฏิบัติของรัฐบาล ซึ่งในขณะนี้หลายคำสั่งกำลังเผชิญกับการท้าทายในชั้นศาล
นาย George Mastrodonato ผู้ลงคะแนนเลือกทรัมป์และทนายความกึ่งเกษียณในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งเข้าร่วมในการสำรวจครั้งนี้ กล่าวว่า “ฉันไม่ชอบการออกคำสั่งฝ่ายบริหารพวกนี้เลย ไม่ว่าทรัมป์หรือประธานาธิบดีคนไหนก็ตาม ในกรณีของทรัมป์ ฉันคิดว่าเขาออกคำสั่งเหล่านี้มากเกินไป และนั่นคือเหตุผลที่หลายคำสั่งถูกศาลเพิกถอน เพราะเขาไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ฉันหวังว่าเขาจะรอบคอบกว่านี้ และมุ่งเน้นไปที่การออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีโอกาสชนะในศาลมากกว่า”
มากกว่าครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกัน (52%) ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน เชื่อว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์จะเปลี่ยนประเทศไปอย่างถาวร ขณะที่ 36% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่เขาทำจะหายไปเมื่อเขาออกจากตำแหน่ง และมีเพียง 12% เท่านั้นที่เชื่อว่าการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์จะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันยังคงมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์รักษาคำมั่นสัญญาในการหาเสียงหรือไม่ โดยมี 48% ที่กล่าวว่าเขาทำได้ดี และ 51% มองว่าทำได้ไม่ดี ตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับสมัยแรกของเขา ขณะที่ 55% เชื่อว่าทรัมป์ได้ดำเนินการบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ แต่มีเพียง 28% เท่านั้นที่เชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จแล้วในจุดนี้
นาย George Mastrodonato ผู้สนับสนุนทรัมป์จากนิวเม็กซิโก ยังมองว่าทรัมป์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ “เขาทำในสิ่งที่เขาบอกว่าจะทำ แม้ว่าบางวิธีที่เขาเลือก ผมเองอาจจะเลือกวิธีอื่น แต่เขาคือโดนัลด์ ทรัมป์ เขาก็จะทำในแบบของเขาเอง”
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ข้อมูลอ้างอิง CNN