รายงานตลาดเชิงลึก เรื่อง ตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในอินเดีย

บทสรุปผู้บริหาร

ยอดขายของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในตลาดอินเดีย มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอัตราการขยายตัวจำแนกตามประเภทหมวดหมู่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะพบว่าสินค้าบางประเภทมีการขยายตัว ขณะที่บางประเภทกำลังเผชิญกับการหดตัว

สำหรับกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น เช่น

– สินค้าอิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา โดยเฉพาะหูฟังไร้สาย (True Wireless Stereo: TWS) และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (wearable electronics) เนื่องจากความสะดวกสบายในการใช้งานและเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในกลุ่มประชากรอินเดียที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ

– คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงมีสัญญาณฟื้นตัวจากภาวะซบเซาในปี 2566 อันเป็นผลมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI-enabled PCs) การขยายการผลิตภายในประเทศ และความต้องการเพื่อการศึกษา

– โทรศัพท์มือถือ ที่ยอดขายกลับมาเติบโตเล็กน้อยในปี 2567 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น การเข้าถึงเครือข่าย 5G ที่แพร่หลายมากขึ้น และความต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่หลังจากการใช้งานโทรศัพท์ที่ซื้อในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

– โทรทัศน์ (home video) มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยเฉพาะโทรทัศน์ LCD เนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคเริ่มหันไปเลือกซื้อโทรทัศน์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นและมีคุณสมบัติขั้นสูงสำหรับการใช้งานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีหมวดหมู่สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลเชิงลบ ยอดขายเกิดการหดตัว อาทิ อุปกรณ์ความบันเทิงภายในรถยนต์ (in-car entertainment) ระบบเครื่องเสียงภายในบ้านและโรงภาพยนตร์ (home audio & cinema) และอุปกรณ์ถ่ายภาพ (imaging devices) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากแรงกดดันของการเติบโตของกลุ่มสมาร์ทโฟน ลำโพงไร้สาย และการเข้าถึง 5G ที่กว้างขวางมากขึ้น

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในอินเดียจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2568 – 2573 โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เครื่องเล่นพกพา โทรทัศน์ และหูฟังไร้สาย ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับโทรทัศน์ขนาดใหญ่ (55 นิ้วขึ้นไป) ที่มีความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคสนใจเลือกซื้อโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสูงขึ้นและมีคุณสมบัติขั้นสูงในการใช้งาน สำหรับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงมีแนวโน้มการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การอัพเกรดเครื่อง การเติบโตของตลาดเกมมิ่ง และการรองรับ 5G และ AI เป็นต้น ขณะที่กลุ่มอุปกรณ์ความบันเทิงภายในรถยนต์ ระบบเครื่องเสียงภายในบ้าน และอุปกรณ์ถ่ายภาพ มีแนวโน้มที่จะเผชิญภาวะถดถอยต่อเนื่อง

สำหรับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สนใจขยายตลาดในอินเดีย อาจพิจารณามุ่งเน้นเจาะตลาดด้วยกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียมที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ของอินเดีย การใช้ช่องทาง E – commerce ในการขยายตลาดและเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถึงในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ กระจายและจัดจำหน่ายสินค้าในอินเดียอย่างเป็นระบบ

ภาพรวมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในปี 2024

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในอินเดียคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของปริมาณการขายปลีกที่แข็งแกร่งในปี 2567 แม้ว่าผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละหมวดสินค้า โดยบางหมวดมีการเติบโต ขณะที่บางหมวดอาจเผชิญภาวะชะลอตัว อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา โดยเฉพาะหูฟังไร้สายแบบ TWS และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในอินเดียที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบ

อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากเผชิญปีที่ยากลำบากในปี 2566ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ การฟื้นตัวของยอดขาย คอมพิวเตอร์ที่รองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI-enabled PCs) การผลิตภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ความต้องการเพื่อการศึกษา และวงจรการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ นอกจากนี้ ตลาดโทรศัพท์มือถือคาดว่าจะกลับมาเติบโตในปี 2567 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น การเข้าถึงเครือข่าย 5G ที่แพร่หลายขึ้น และการเปลี่ยนโทรศัพท์ที่ซื้อในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ดีขึ้น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่กว้างขวางขึ้น และรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคยังเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ หมวดหมู่วิดีโอภายในบ้านโดยเฉพาะโทรทัศน์ LCD คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ความสามารถในการซื้อที่เพิ่มขึ้น และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกโทรทัศน์คุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติขั้นสูงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตของสมาร์ทโฟน ลำโพงไร้สาย และการแพร่หลายของ 5G ยังคงส่งผลกระทบเชิงลบต่อหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น ระบบความบันเทิงในรถยนต์ ระบบเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์ และอุปกรณ์ถ่ายภาพ

แนวโน้มสำคัญในปี 2567

การเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น: สินเชื่อสำหรับซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินเชื่อไม่มีหลักประกันมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นยอดขายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจากธนาคารกลางอินเดีย (Reserve Bank of India) แสดงให้เห็นว่าระหว่างปี 2019-2024 ยอดสินเชื่อสำหรับซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นดังนี้:

เขตมหานคร: เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 300

พื้นที่เมือง: เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 120

เมืองกึ่งชนบท: เพิ่มขึ้นร้อยละ 80

พื้นที่ชนบท: เพิ่มขึ้นร้อยละ 50

แนวโน้มนี้เด่นชัดที่สุดในเขตเมืองใหญ่และเขตเมือง ซึ่งผู้บริโภคมีรายได้ที่สูงขึ้นและเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายกว่า ส่วนในพื้นที่ชนบทและกึ่งเมือง แม้ว่าจะมีอัตราการเติบโต แต่ผลกระทบจากการเข้าถึงสินเชื่อยังไม่เด่นชัดเท่ากับในเขตเมือง

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเครือข่าย 5G: เครือข่าย 5G ในอินเดีย มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 250 ล้านราย ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ใช้โอกาสนี้ในการขยายตลาด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่รองรับ 5G เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นรุ่นที่รองรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สำหรับอุปกรณ์ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ แล็ปท็อป แท็บเล็ต โทรทัศน์ LCD และโดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวรุ่นที่รองรับ 5G ในราคาที่เข้าถึงได้ และความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

ข้อมูลสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดีย (จำแนกตามหมวดหมู่สินค้า)

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 14 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2

– คอมพิวเตอร์เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 11 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 4

– โดยบริษัท Hewlett-Packard India Sales Pvt Ltd เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 17 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

แม้ความต้องการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงยังอยู่ในทิศทางที่เป็นบวก โดยมีปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การฟื้นตัวของตลาดหลังจากช่วงที่ซบเซาในปี 2566 การเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่มีเทคโนโลยี AI และการขยายตัวของการผลิตภายในประเทศ รวมไปถึงการซื้อเพื่อการศึกษา และการซื้อเนื่องจากถึงรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตโดยรวมยังคงอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสินค้าที่ไม่จำเป็น

โดยยอดขายหลักมาจากกลุ่มสินค้าแท็บเล็ต ขณะที่ในกลุ่มอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องพิมพ์ และจอมอนิเตอร์ มียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้านี้ลดลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนทำให้ขัดขวางการเติบโตของสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ต่อพ่วง

ทั้งนี้ บริษัท Hewlett-Packard India Sales Pvt Ltd หรือ HP ยังคงเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงของอินเดียในปี 2567 แม้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยติดต่อกันเป็นปีที่สอง แต่ HP ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ โดยอาศัยกลยุทธ์ทางการตลาดและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในตลาดเกมมิ่งผ่านโครงการ HP Gaming Garage ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์ฟรีที่ให้การรับรองด้านการจัดการกีฬา E-Sport และการพัฒนาเกม รวมถึงบริษัทยังได้เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่งที่มีเทคโนโลยี AI ในตัว โดยใช้โปรเซสเซอร์ AI รุ่นใหม่ที่สามารถปรับแต่งการใช้กราฟิกแบบเรียลไทม์ ทำให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเย็นขึ้นและเงียบขึ้น

แนวโน้มและโอกาสในอนาคต

ตลาดคอมพิวเตอร์ในอินเดียคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การเปลี่ยนอุปกรณ์ตามรอบอายุการใช้งาน (replacement cycle) กระแสการยกระดับผลิตภัณฑ์ (premiumisation) การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีเทคโนโลยี 5G และ AI ตลอดจนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแล็ปท็อปเกมมิ่ง

ทั้งนี้ ตลาดเกมมิ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โดยมีปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต คือ การขยายตัวของอุตสาหกรรม E-Sport ในอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น แล็ปท็อปและเดสก์ท็อปเกมมิ่งเพิ่มขึ้น

โดยจากการสำรวจของ Voice of the Consumer: Lifestyles Survey ของ Euromonitor International ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567 พบว่าร้อยละ 33 ของผู้ตอบแบบสอบถามในอินเดียเล่นวิดีโอเกม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการสอบถามในปี 2562 ที่มีอัตราร้อยละ 26 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของตลาดเกมมิ่ง เป็นผลให้บริษัทหลายแห่งได้เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่งระดับพรีเมียมเพื่อรองรับเกมเมอร์มืออาชีพและครีเอเตอร์ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของอุปกรณ์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Asus ได้เริ่มผลิตแล็ปท็อปเกมมิ่งระดับ Hi-end ในอินเดียผ่านบริษัท Flex ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ขณะที่ Acer เปิดตัวแล็ปท็อปเกมมิ่ง Predator Helios Series ที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ เช่น การลดเสียงรบกวน การปรับแต่งกล้องเว็บแคม และการใช้กราฟิกการ์ดที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ในทางกลับกัน ในกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องพิมพ์ และจอมอนิเตอร์ คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้น บริการพิมพ์แบบรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชัน เช่น Blinkit ที่สามารถส่งไฟล์พิมพ์ให้ลูกค้าถึงที่หมายภายในไม่กี่นาที ทำให้ความต้องการเครื่องพิมพ์ลดลง นอกจากนี้ การกลับเข้าไปทำงานที่สำนักงานก็ส่งผลให้เกิดความต้องการจอมอนิเตอร์ลดลงเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในด้านการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงภายในประเทศอินเดียคาดว่ามีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ Production Linked Incentive (PLI) Schemes ซึ่งให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตที่ตั้งฐานการผลิตภายในประเทศ ปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียได้อนุมัติให้ 27 บริษัท เริ่มการผลิตภายในประเทศภายใต้โครงการนี้ รวมถึง Dell, Foxconn, HP และ Lenovo โดยบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Dell และ HP ดำเนินการผลิตโดยตรง ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Acer, Lenovo และ Asus ร่วมมือกับบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EMS) เช่น Flextronics และ Rising Star Google ยังได้ประกาศความร่วมมือกับ HP ในการผลิต Chromebook ที่โรงงาน Flex Ltd ใกล้เมืองเจนไน

ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ผู้บริโภคชาวอินเดียยังคงนิยมซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงจากร้านค้าปลีก แต่ช่องทางอีคอมเมิร์ซมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ความสะดวกสบาย ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย และโปรโมชั่นพิเศษ เป็นต้น

โทรศัพท์มือถือในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 226 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2

– สมาร์ทโฟน (Smart Phone) เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 154 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 5

– โดยบริษัท Samsung India Electronics Pvt Ltd เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 15 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

ตลาดโทรศัพท์มือถือกลับมาเติบโตหลังจากยอดขายลดลงติดต่อกันสองปี จากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงส่งผลให้ตลาดโทรศัพท์มือถือในอินเดียกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2567 โดยมีสมาร์ทโฟน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น การเข้าถึงเครือข่าย 5G ได้สะดวกและง่ายขึ้นเนื่องจากราคาไม่แพง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ดีขึ้น ขณะที่ด้านโทรศัพท์ฟีเจอร์โฟน (Feature Phone) มียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 เนื่องจากสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นมีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนจากฟีเจอร์โฟนมาใช้สมาร์ทโฟน

ทั้งนี้ การให้บริการ 5G ในอินเดีย มีส่วนช่วยกระตุ้นความต้องการสมาร์ทโฟนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการอุปกรณ์ที่รองรับ 5G เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เร็วขึ้น และมีแบนด์วิดท์ในการดาวน์โหลดที่มากขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มของการเลือกใช้สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มีเทคโนโลยีทันสมัยก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตของโทรศัพท์ 5G และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค บริษัทต่างๆ จึงมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดอินเดีย อาทิ

– Xiaomi India เปิดตัว Redmi 13 5G ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 4 Gen 2 และมีหน้าจอขนาดใหญ่ที่สุดในช่วงราคาเดียวกัน

– Motorola เปิดตัว Moto G85 5G ซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอ OLED แบบโค้ง 3D ที่มีอัตรารีเฟรช 120Hz

แนวโน้มและโอกาสในอนาคต

การเติบโตของสมาร์ทโฟนยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แม้ว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือในภาพรวมของอินเดียอาจไม่ได้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของปริมาณ แต่สมาร์ทโฟนกลับมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยดังต่อไปนี้

– รายได้ที่ใช้จ่ายได้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

– การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและเครือข่าย 5G

– การให้บริการสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (EMI) ที่เอื้อต่อการซื้อ

– ความต้องการสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย

– แนวโน้มกระแสเทรนด์พรีเมียม (Premiumization) ทำให้เกิดความต้องการการเลือกซื้ออุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวและวัสดุคุณภาพสูง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความทนทานและประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟน

จากความต้องการสมาร์ทโฟนในตลาดอินเดียที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินนโยบาย Production Linked Incentive (PLI) Scheme ของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลดภาษีนำเข้าเพื่อดึงดูดทั้งบริษัทท้องถิ่นและต่างชาติให้เข้ามาตั้งโรงงานในอินเดีย เกิดการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอินเดีย นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการผลิตสมาร์ทโฟนในอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่าสมาร์ทไฟนแบบพับได้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นและคุณสมบัติระดับพรีเมียมมากขึ้น ดีไซน์หน้าจอแบบพับได้ช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชม และช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้สะดวกและหลากหลายมากขึ้น สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของสมาร์ทโฟนแบบพับได้ ได้แก่ มีน้ำหนักเบาและพกพาได้สะดวก ราคาลดลงทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

ตัวอย่างสมาร์ทโฟนในตลาดอินเดีย เช่น Motorola Razr 50 สมาร์ทโฟนพับได้ขนาด 6.9 นิ้ว พร้อมคุณสมบัติกันน้ำระดับ IPX8 ราคา 89,999 รูปีอินเดีย หรือประมาณ 39,000 บาท

โดยช่องทางการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือผ่าน E – commerce ของอินเดียมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยและมีความมั่นใจในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตของช่องทางการจำหน่ายผ่าน E – commerce คือ ความสะดวกสบาย ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลาย และโปรโมชั่นพิเศษ ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายรายได้ขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์มากขึ้น เช่น การจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม E – Commerce ชั้นนำ เช่น Amazon และ Flipkart หรือเปิดร้านค้าออนไลน์ของแบรนด์เอง

หูฟังในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 63 ล้านหน่วย คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12

– หูฟังประเภท True Wireless Stereo หรือ TWS เป็นหมวดสินค้าที่เติบโตดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 54 ล้านหน่วย คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 19

– โดยบริษัท Imagine Marketing Pvt Ltd เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 34ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

– คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าหูฟังในอินเดียจะเติบโตต่อเนื่องในเชิงปริมาณ คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี โดยในปี 2571 คาดว่าจะมียอดจำหน่ายสูงถึง 102 ล้านหน่วย

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

กลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งมีจำนวนประมาณ 382 ล้านคนในอินเดีย ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหูฟัง โดยเฉพาะหูฟัง TWS โดยมีความต้องการหูฟังที่มี สไตล์ ทันสมัย และคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเข้าถึงสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการบริโภคสื่อดิจิทัลที่แพร่หลายในปัจจุบันกลายเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนและกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่นิยมฟัง Podcast, Audio จึงมีความต้องการฟังก์ชันเสริมต่างๆ ในการใช้งานและรับฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) และผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant) เหล่านี้เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ที่จำเป็นในการเลือกซื้อและใช้งาน

โดยบริษัท Imagine Marketing Pvt Ltd หรือ boAt เป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอินเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มหูฟังประเภท TWS จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์ล้ำสมัย ความมีนวัตกรรม และราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังพบปัญหาเรื่องของความคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ จึงเป็นอุปสรรคในการขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีผู้เล่นรายอื่นที่พยายามเข้าแย่งพื้นที่ในตลาด อาทิ Sony, JBL,  Jabra รวมถึงแบรนด์สมาร์ทโฟนอย่าง Oppo และ Realme เป็นต้น

อย่างไรก็ดี แบรนด์หูฟังภายในประเทศอินเดียหลายราย รวมถึง boAt ถูกกล่าวหาว่าสินค้าที่นำมาจำหน่ายในตลาดอินเดียเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามาจากจีนและเปลี่ยนแบรนด์เพื่อนำมาจำหน่ายในอินเดีย ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

แนวโน้มและโอกาสทางการตลาด

หูฟังประเภท TWS ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ขณะเดียวกันหูฟังไร้สายแบบพรีเมียมก็มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2571 คนอินเดียเกือบ 90 ล้านราย จะมีรายได้ต่อปีสูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์เสียงที่เหนือกว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีระบบเสียงรอบทิศทาง (Ambient Audio) ระบบตัดเสียงรบกวนแบบอัตโนมัติ (ANC) และการควบคุมที่สะดวก (Tactile Controls) จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพวัสดุและความทนทาน

โดยช่องทางจำหน่ายผ่าน E – commerce และ Quick Commerce จะเป็นช่องทางจำหน่ายหลักและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความสะดวกสบายในการซื้อ การดูข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบราคา และโปรโมชั่นพิเศษ ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Quick Commerce อย่าง Blinkit, Zepto และ Instamart มีบริการส่งหูฟังถึงมือลูกค้าภายใน 10 นาที ซึ่ง boAt เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่นำรูปแบบนี้มาใช้

นอกจากนี้ การผลิตภายในประเทศจะเติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น โครงการส่งเสริมการผลิต (PLI Scheme) ซึ่งกระตุ้นให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานในอินเดีย อาทิ ความร่วมมือระหว่างบริษัท Xiaomi กับบริษัท Optiemus Electronics ในการจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์เสียงใน Noida ขณะที่ผู้ผลิตในอินเดียก็มีความต้องการขยายกำลังการผลิตเช่นกัน อาทิ บริษัท Optiemus Electronics มีแผนจะขยายกำลังการผลิต TWS เป็นสองเท่าภายในปี 2568 ซึ่งการผลิตในประเทศอินเดียจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้น และการขาดแคลนอุปทานลดลง

Home Video ในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 17 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7

– โทรทัศน์ เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 17 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 7

– โดยบริษัท Xiaomi Technology India Pvt Ltd เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 12 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

– คาดการณ์ว่าตลาดสินค้า Home Video ในอินเดียจะเติบโตต่อเนื่องในเชิงปริมาณ คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปี โดยในปี 2571 คาดว่าจะมียอดจำหน่ายสูงถึง 23 ล้านเครื่อง

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

ตลาด Home Video ในอินเดีย ขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยหมวดหมู่ที่ครองตลาดหลัก คือ โทรทัศน์ประเภท LCD TV ที่กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 หลังจากที่ยอดขายลดลงในปี 2566 อันมีสาเหตุมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น มีราคาให้เลือกหลายรายและเข้าถึงได้มากขึ้น และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับโทรทัศน์ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ความละเอียดดีขึ้น และเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่นสินค้า 4K SMART TV กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น เนื่องจากเนื้อหา 4K ในแพลตฟอร์ม OTT เช่น Netflix, Amazon Prime มีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างบริษัทผู้ผลิต LCD TV ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ในราคาประหยัดเพิ่มขึ้น เพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้เปลี่ยนจากโทรทัศน์ธรรมดาเป็น SMART TV ขณะที่ผู้ผลิตโทรทัศน์แบรนด์ชั้นนำ เช่น LG, Samsung กำลังพัฒนาโทรทัศน์ที่มี AI เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 แบรนด์ Xiaomi ยังคงเป็นผู้นำตลาดในแง่ของยอดจำหน่ายปลีก ตามมาด้วยSamsung และ LG โดย Xiaomi เข้าครองตลาดด้วยโทรทัศน์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและราคาจับต้องได้ อาทิ รุ่น 32 นิ้ว SMART TV A32 ที่เปิดตัวในปี 2567 ในราคาไม่เกิน 15,000 รูปีอินเดีย ขณะที่ Samsung และ LG เน้นตลาดพรีเมียมและจอขนาดใหญ่ เช่น การเปิดตัวของโทรทัศน์ LG OLED SMART TV ขนาด 97 นิ้ว พร้อมระบบ AI Processor a11 และระบบปฏิบัติการ webOS เพื่อตอบสนองแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มให้ความสนใจโทรทัศน์จอขนาดใหญ่ และมี AI ช่วยปรับแต่งภาพ/เสียง

แนวโน้มและโอกาสทางการตลาด

จากรายงานของ Euromonitor คาดการณ์ว่าตลาดโทรทัศน์ในอินเดียจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2567 -2571 โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่ขับเคลื่อนการเติบโต ดังนี้

– เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น OLED, QLED, และ QNED เริ่มเป็นมาตรฐานมากขึ้น

– ระบบ AI-enhanced TV ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น เช่น ระบบแนะนำคอนเทนต์อัตโนมัติตามพฤติกรรมการรับชม ระบบการสั่งงานด้วยเสียง การควบคุมความสว่างอัตโนมัติ เป็นต้น

– คนอินเดียใช้บ้านเป็นศูนย์กลางความบันเทิงมากขึ้นสำหรับการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม จึงยอมลงทุนในทีวีที่มีคุณภาพสูง

– ความต้องการโทรทัศน์จอใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าโทรทัศน์ขนาด 55 นิ้วขึ้นไป มีอัตราการขยายตัวสูงสุด เพราะผู้บริโภคต้องการจอขนาดใหญ่ที่มีความละเอียดสูง ภาพคมชัด และคุณภาพเสียงดี

– ราคาที่ถูกลงทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงทีวีจอใหญ่ได้ง่ายขึ้น เกิดการกระตุ้นให้ผู้บริโภคอัพเกรดจากทีวีเครื่องเก่า

– แนวโน้มการผลิตโทรทัศน์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากมาตรการส่งเสริมของรัฐบาลอินเดีย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า ลดความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

– ช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม E – commerce มีบทบาทมากขึ้นสำหรับสินค้ากลุ่มนี้ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านได้

อย่างไรก็ดี ด้านสินค้าหมวดเครื่องเสียงและภาพยนตร์มีแนวโน้มขยายตัวลดลงร้อยละ 10 ในปี 2567 โดยมียอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคอินเดียที่เปลี่ยนไปใช้ SMART TV และลำโพงไร้สายแทน สำหรับผู้เล่นหลักที่ครองตลาดกลุ่มนี้ คือ บริษัท Sony ครองส่วนแบ่งร้อยละ 53 แต่ก็มียอดขายลดลงเช่นกัน โดยการทำการตลาดในกลุ่มสินค้าเครื่องเสียงอาจเน้นสินค้าระดับพรีเมียมแทนกลุ่มตลาด Mass ที่กำลังขยายตัวลดลง

สินค้าอุตสาหกรรมบันเทิงสำหรับรถยนต์ในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 1.1 ล้านเครื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 11

– เครื่องเล่นในรถ (In-Dash Media Players) เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 495,000 เครื่อง

– โดยบริษัท Pioneer Corporation เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 23 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัท Pioneer Corporation ได้เปลี่ยนแนวทางการขยายตลาดจากการดำเนินธุรกิจ Aftermarket (ตลาดอุปกรณ์เสริมภายหลังการซื้อรถยนต์) ไปสู่ธุรกิจ OEM (Original Equipment Manufacturer) หรือการเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง โดยบริษัทกำลังมองหาความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายต่างๆ เพื่อให้ระบบบันเทิงของ Pioneer ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงมีแผนที่จะร่วมมือกับโรงงานประกอบรถยนต์และอุปกรณ์ภายในประเทศอินเดียเพื่อเพิ่มการผลิตภายในประเทศ แทนการนำเข้าจากไทยและเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะตั้งโรงงานผลิตของตนเองในอินเดีย หากสามารถขยายตลาดได้ถึงระดับที่เหมาะสม

– คาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตลดลงต่อเนื่องในเชิงปริมาณ โดยในปี 2572 จะมียอดจำหน่ายเพียง 664,000 เครื่อง

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

กลุ่มสินค้าอุปกรณ์บันเทิงสำหรับรถยนต์ในอินเดีย ประสบปัญหายอดขายลดลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ดังนี้

การติดตั้งระบบบันเทิงและระบบนำทางจากโรงงาน โดยปัจจุบัน รถยนต์รุ่นใหม่จำนวนมากจะมีการติดตั้งระบบและอุปกรณ์บันเทิงสำหรับรถยนต์ พร้อมระบบนำทางมาจากโรงงาน ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่ามีความน่าเชื่อถือและเป็นของแท้มากกว่าการมาติดตั้งเพิ่มเติม

การใช้งานสมาร์ทโฟนแทนที่อุปกรณ์บันเทิงภายในรถยนต์ อินเดียมียอดขายสมาร์ทโฟนสูงถึง 150 ล้านเครื่องในปี 2567 และมีอัตราการครอบครองสมาร์ทโฟนภายในครัวเรือนสูงกว่าร้อยละ 80 ด้วยค่าอินเทอร์เน็ตในอินเดียที่มีราคาไม่แพง ทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนระบบนำทางภายในรถยนต์หรือเครื่องเล่นภายในรถยนต์ได้ง่ายและสะดวก

แนวโน้มและโอกาสในอนาคต

  1. การลดลงของตลาดอุปกรณ์บันเทิงภายในรถยนต์อย่างต่อเนื่อง

คาดว่ายอดขายสินค้ากลุ่มนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ระบบนำทางภายในรถยนต์ (In-Car Navigation) เครื่องเสียงภายในรถ (In-Car Speakers) และเครื่องเล่นสื่อในตัวรถ (In-Dash Media Players) โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราการครอบครองสมาร์ทโฟนซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 95 ภายในปี 2572 และการพัฒนาแอปพลิเคชันนำทาง เช่น Google Maps ที่มีความแม่นยำสูงขึ้น

  1. ผลกระทบของ 5G และระบบอุปกรณ์บันเทิงที่ติดตั้งมาจากโรงงาน

โดยภายในปี 2567 อินเดียมีผู้ใช้ 5G กว่า 250 ล้านคน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มเปิดตัวรถที่รองรับ 5G Machine-to-Machine (M2M) connectivity โดยภายในปี 2568 รถยนต์ที่มีราคาสูงกว่า 2 ล้านรูปีอินเดีย ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับระบบ 5G M2M, AI อัจฉริยะ และระบบเชื่อมต่อกับคลาวด์ นอกจากนี้ ระบบที่ติดตั้งจากโรงงานยังรวมถึง ระบบนำทาง กล้องมองหลัง เครื่องเล่นสื่อ และลำโพงคุณภาพสูง ซึ่งจะทำให้ตลาดอุปกรณ์เสริมในกลุ่มนี้ลดลง

  1. การเติบโตของระบบและอุปกรณ์บันเทิงที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

แม้ว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์เสริมแบบดั้งเดิมจะมีแนวโน้มลดลง แต่ความต้องการผลิตภัณฑ์ในรถยนต์ที่มีฟังก์ชันการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสการยกระดับคุณภาพสินค้า (premiumisation) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกซื้อรถยนต์ที่มีฟังก์ชันและเทคโนโลยีล้ำสมัยมากขึ้น

สำหรับฟังก์ชันที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ กล้องติดหน้ารถที่เชื่อมต่อข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และระบบติดตามตำแหน่งยานพาหนะ รวมถึงระบบสื่อสารระหว่างยานยนต์ (vehicle-to-vehicle communication) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสภาพถนนและสภาพจราจร นอกจากนี้ ระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ก็ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค

ผู้ผลิตรถยนต์จำนวนมากกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อแนวโน้มนี้ ตัวอย่างเช่น Tata Motors ได้นำเสนอระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ IRA (Intelligent Real-time Assist) ที่มอบฟังก์ชันต่างๆ ให้แก่ผู้ขับขี่ เช่น ระบบล็อกและปลดล็อกประตูจากระยะไกล ระบบติดตามรถยนต์ในกรณีถูกโจรกรรม การวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ และการวินิจฉัยปัญหาของรถยนต์แบบเรียลไทม์

โดยสรุป ความต้องการเทคโนโลยีอัจฉริยะและฟีเจอร์ระดับพรีเมียมในรถยนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดอุปกรณ์ความบันเทิงในรถยนต์แบบแยกจำหน่ายมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน

เครื่องเล่นสำหรับพกพาในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 2 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5

– ลำโพงไร้สาย เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 1.9 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 6

– โดยบริษัท Amazon.com Inc เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 48 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

ตลาดเครื่องเล่นสำหรับพกพาในอินเดียยังคงเติบโตทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าทางการตลาดในปี 2567 โดยมีลำโพงไร้สายเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก อันเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการเข้าสู่ตลาดของแบรนด์ใหม่ ๆ เช่น Tivoli Audio จากสหรัฐอเมริกา และ Audio Pro จากสวีเดน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค คุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อที่ง่าย พกพาได้สะดวก และรองรับการทำงานแบบไร้สาย ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความนิยมสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้าน รวมไปถึงกระแสความนิยมของ SMART Home ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลำโพงไร้สายอัจฉริยะด้วย

ความนิยมของเทคโนโลยี SMART Home ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอินเดียเลือกใช้ลำโพงอัจฉริยะที่ควบคุมด้วยเสียงเพิ่มขึ้น อุปกรณ์เหล่านี้สามารถใช้ควบคุมอุปกรณ์ SMART Home อื่นๆ และรองรับฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายผ่านคำสั่งเสียง นอกจากนี้ แนวโน้มดังกล่าวยังขยายตัวจากเมืองใหญ่ไปสู่เมืองรอง โดยผู้บริโภคนิยมใช้ SMART Speaker เพื่อสตรีมเพลง ชำระเงิน และค้นหาข้อมูล แบรนด์ชั้นนำอย่าง Amazon และ Google จึงพยายามเจาะตลาดนี้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีราคาจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น Amazon ได้เปิดตัว Echo Pop ในปี 2566 ในราคาที่เข้าถึงง่าย (4,999 รูปีอินเดีย) เพื่อตอบโจทย์ตลาดระดับเริ่มต้น นอกจากนี้ การพัฒนาให้รองรับภาษาท้องถิ่นยังช่วยกระตุ้นการใช้งานให้แพร่หลายยิ่งขึ้น

ขณะที่ด้านเครื่องเล่นแบบพกพาและเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (eReader) มียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์พีซี ซึ่งเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่สามารถรองรับฟังก์ชันเดียวกันได้ การเติบโตของแพลตฟอร์มสตรีมมิงและบริการคอนเทนต์ตามความต้องการ (on-demand) ยิ่งเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาวที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและการพกพามากกว่าการใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง ส่งผลให้สินค้าประเภทนี้ประสบปัญหาด้านความต้องการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัท Amazon.com Inc ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องเล่นแบบพกพาของอินเดียในปี 2567 โดยมีกลุ่มสินค้า eReader และลำโพงไร้สายเป็นหมวดหมู่หลักที่สร้างยอดจำหน่ายให้บริษัทมากที่สุด โดย Kindle ของ Amazon ครองส่วนแบ่งตลาด E – Reader กว่าร้อยละ 80 โดยอาศัยกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลากหลาย และการให้ส่วนลดสำหรับสินค้ารุ่นเก่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดลำโพงไร้สาย Amazon ก็ยังเป็นผู้นำ ด้วยสัดส่วนยอดขายมากกว่าร้อยละ 45 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จของ SMART Speaker อย่าง Amazon Echo ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้หลากหลาย รองรับการใช้งานหลายภาษา อาทิ อังกฤษ ฮินดี และ Hinglish ตลอดจนมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่ Echo Pop รุ่นเริ่มต้น ไปจนถึง Echo Show 10 ที่มีหน้าจอและกล้องรักษาความปลอดภัยในตัว

แนวโน้มและโอกาสในอนาคต

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคส่งผลกระทบต่อยอดขาย eReader

แม้ว่าตลาดเครื่องเล่นพกพาโดยรวมจะยังคงเติบโต แต่ยอดขาย eReader คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการแข่งขันจากอุปกรณ์อเนกประสงค์ การขยายตัวเพิ่มขึ้นของหนังสือเสียง (audiobooks) และลักษณะสินค้าที่ไม่ได้เป็นสินค้าจำเป็น ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และเว็บเบราว์เซอร์ในการอ่านหนังสือ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบโดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์แยกต่างหาก นอกจากนี้ แพลตฟอร์มหนังสือเสียง เช่น Amazon Audible และ Storytel รวมถึงผู้ให้บริการท้องถิ่นอย่าง Pocket FM และ Kuku FM กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการ eReader ลดลงอย่างต่อเนื่อง

  1. ลำโพงไร้สายยังคงเติบโตต่อเนื่อง

คาดว่าลำโพงไร้สายจะยังคงเป็นหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดเครื่องเล่นพกพาของอินเดียในอนาคต ด้วยแนวโน้มของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ความบันเทิงแบบไร้สาย พกพาสะดวก และประหยัดพื้นที่ ผู้บริโภคจำนวนมากจึงเปลี่ยนจากระบบเสียงแบบดั้งเดิม เช่น ชุดเครื่องเสียง Hi-Fi ไปสู่ลำโพงไร้สายที่ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภายในบ้าน รถยนต์ ที่ทำงาน หรือแม้แต่กลางแจ้ง

  1. E – commerce มีบทบาทสำคัญมากขึ้น

แม้ว่าช่องทางจำหน่ายหลักของเครื่องเล่นพกพาจะยังคงเป็นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่การค้าปลีกออนไลน์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในอนาคต การระบาดของโควิด-19 ได้เร่งให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น และแม้สถานการณ์จะคลี่คลายแล้ว แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงนิยมช้อปออนไลน์เนื่องจากความสะดวกสบายและโปรโมชั่นที่ดีกว่า โดย Amazon ถือเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในตลาดนี้ ด้วยแพลตฟอร์ม E – commerce ที่ครองส่วนแบ่งตลาด eReader และลำโพงไร้สายสูงสุด ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มลงทุนในการขยายช่องทางออนไลน์เพื่อตอบสนองผู้บริโภคยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในเมืองรองที่กำลังเติบโต

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 61 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12

– อุปกรณ์ Smart Wearables เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 โดยยอดจำหน่ายในเชิงปริมาณจำนวนทั้งสิ้น 1.8 ล้านเครื่อง คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 17

– โดยบริษัท Boltt Games Pvt Ltd เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 26 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

สถานการณ์และทิศทางของตลาดในปี 2567

แนวโน้มด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดอุปกรณ์สวมใส่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

แม้ว่าการเติบโตของยอดขายปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ในอินเดียจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในปี 2567 แต่ยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับเลขสองหลัก โดยมีปัจจัยที่ช่วยในการขับเคลื่อนการเติบโต อาทิ ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แนวโน้มการเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียม และกระแสความสนใจด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสายรัดข้อมือวัดกิจกรรมแบบพื้นฐาน ไปเป็นนาฬิกาอัจฉริยะและอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เนื่องจากมีราคาต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า นอกจากนี้ การเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียมยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อแลกกับฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุมมากขึ้น ประกอบกับ กระแสของการรักษ์สุขภาพที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของตลาด โดยผู้บริโภคให้ความสนใจในการติดตามข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์เพื่อปรับปรุงการออกกำลังกายและโภชนาการของตนเอง ซึ่งทำให้ผู้ผลิตหลายรายพัฒนานาฬิกาอัจฉริยะที่มีฟังก์ชันการติดตามสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่

Fire-Boltt ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้บริษัท Boltt Games Pvt Ltd ยังคงเป็นผู้นำในตลาดอุปกรณ์สวมใส่อิเล็กทรอนิกส์ของอินเดียในปี 2567 โดยสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้อย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัย เช่น การเปิดตัว Dream Wristphone นาฬิกาอัจฉริยะที่ใช้ระบบ Android ซึ่งรองรับ 4G LTE และมีจอแสดงผลขนาด 2.02 นิ้ว พร้อมฟังก์ชัน Google Suite ระบบสั่งงานด้วยเสียง การชาร์จแบบไร้สาย และแบตเตอรี่ 800mAh

อย่างไรก็ตาม Noise ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัท Nexxbase Marketing Pvt Ltd ก็กำลังไล่ตามผู้นำตลาดอย่างใกล้ชิด โดยสามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งตลาดได้อย่างต่อเนื่อง Noise สามารถครองตลาดได้ด้วยกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคหลายกลุ่ม และการตั้งราคาที่เหมาะสม เช่น การเปิดตัว ColorFit Ore ซึ่งมีราคาขายที่ 2,999 รูปีอินเดีย โดยมีฟังก์ชันตรวจวัดสุขภาพ เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความเครียด การติดตามการนอนหลับ และระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2)

E – commerce เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายหลัก

การค้าปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางการขายที่สำคัญที่สุดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 90 ในปี 2567 และแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมักเป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและสามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ เปรียบเทียบราคาผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกกว่า นอกจากนี้ ผู้บริโภคในเมืองระดับรอง (Tier-2) และเมืองระดับสาม (Tier-3) ยังสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีจำหน่ายในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายรายขยายช่องทาง การขายผ่านแพลตฟอร์ม E – commerce เช่น Amazon และ Flipkart รวมถึงเปิดร้านค้าออนไลน์ของตนเอง

แนวโน้มและโอกาสในอนาคต

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอุปกรณ์สวมใส่อิเล็กทรอนิกส์

ตลาดอุปกรณ์สวมใส่ในอินเดียคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่สูงขึ้น อุปสงค์จากเมืองรอง และความต้องการติดตามข้อมูลสุขภาพ ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและให้ฟังก์ชันที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มของสินค้าพรีเมียมที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนนาฬิกาวัดกิจกรรมเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเหนือกว่า

สายรัดข้อมือวัดกิจกรรมลดความนิยมลง

ความต้องการสายรัดข้อมือวัดกิจกรรมคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากฟังก์ชันการใช้งานที่จำกัด และการที่นาฬิกาอัจฉริยะและนาฬิกาดิจิทัลมีราคาถูกลง โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถทำได้มากกว่าการนับก้าวและวัดแคลอรี เช่น การควบคุมเพลง การติดตามตำแหน่ง การชำระเงินแบบไร้สัมผัส และการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจึงหันมาเลือกใช้นาฬิกาอัจฉริยะมากขึ้น

การผลิตภายในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว

สัดส่วนการผลิตอุปกรณ์สวมใส่ภายในอินเดียคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการผลิตในประเทศ เช่น โครงการ Phased Manufacturing Program (PMP) ที่ช่วยจูงใจให้แบรนด์ต่างๆ ย้ายฐานการผลิตมายังอินเดีย ตัวอย่างเช่น บริษัท BoAt ได้ร่วมมือกับบริษัท Dixon เพื่อผลิตสินค้าส่วนใหญ่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงต้องพึ่งพาจีนในด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีบางส่วน ทำให้มูลค่าเพิ่มในประเทศยังคงจำกัด

เพื่อให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต ผู้ผลิตจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การจัดหาวัตถุดิบและการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ หากสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ อินเดียจะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์สวมใส่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาดอินเดียมากขึ้นในอนาคต

อุปกรณ์ถ่ายภาพในอินเดีย

ข้อมูลตลาด

– ปี 2567 มียอดจำหน่ายทั้งสิ้นจำนวน 144,000 เครื่อง เติบโตลดลงร้อยละ 18

– กล้องวิดีโอดิจิทัล (Digital Camcorders) เป็นหมวดสินค้าที่มีผลประกอบการดีที่สุดในปี 2567 แต่ยอดขายยังคงลดลงร้อยละ 17

– โดยบริษัท Nikon เป็นผู้นำตลาดในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดร้อยละ 47 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด

สถานการณ์ของตลาดในปี 2567

สมาร์ทโฟนกลายเป็นคู่แข่งหลักของกล้องถ่ายภาพ

จากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของกล้องสมาร์ทโฟนที่มีโหมดกลางคืน Time-lapse Slow-motion และอื่นๆ  ซึ่งตอบโจทย์ความสะดวกในการใช้งานและมีราคาประหยัดกว่า ทำให้กล้องแบบดั้งเดิมถูกลดความสำคัญลง

กล้องประเภท Mirrorless ได้รับความนิยมมากขึ้น

โดย Canon, Nikon และ Fujifilm เลิกผลิต DSLR และหันมาพัฒนา Mirrorless แทน เนื่องจากกล้อง Mirrorless เบากว่า มีระบบโฟกัสเร็วขึ้น และกันสั่นได้ดีขึ้น

ตลาดมีเสถียรภาพ และไม่มีผู้เล่นรายใหม่

โดย Nikon และ Canon เป็นผู้ครองตลาดหลักของกล้องดิจิทัลคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ขณะที่ Sony เป็นผู้ครองตลาดกล้องวีดีโอ อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากแนวโน้มตลาดที่ลดลง จึงทำให้ไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งขัน

แนวโน้มและทิศทางในอนาคต

– ยอดขายอุปกรณ์ถ่ายภาพจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ทโฟนพัฒนาเร็วขึ้น ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปไม่จำเป็นต้องซื้อกล้องแยก

– เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพ/วิดีโอเพื่อ คอนเทนต์ออนไลน์ Vlogging และ Live Streaming โดยกล้องถ่ายภาพต้องมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการแชร์คอนเทนต์เร็วขึ้น

– ราคากล้องจะสูงขึ้น เพราะมุ่งสู่รุ่น Hi-End โดยผู้ผลิตอย่าง Nikon และ Panasonic จะเลิกผลิตกล้องราคาถูก และหันไปพัฒนากล้องระดับโปรแทน ตัวอย่างเช่น Fujifilm X-H2 ใช้ AI Autofocus วิเคราะห์ภาพเพื่อโฟกัสที่ตัวแบบแม่นยำขึ้น ทำให้มีคาดการณ์ว่าราคากล้องจะสูงขึ้นต่อเนื่อง

บทสรุปแนวโน้มและทิศทางของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคในอินเดีย

– คาดการณ์ว่าตลาดจะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงปี 2568 – 2573 โดยสินค้ากลุ่มอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เครื่องเล่นพกพา โทรทัศน์ และหูฟังไร้สาย จะมีอัตราการเติบโตสูง ขณะที่อุปกรณ์ความบันเทิงภายในรถยนต์ ระบบเครื่องเสียงภายในบ้าน และอุปกรณ์ถ่ายภาพจะเผชิญภาวะถดถอยต่อเนื่อง

– คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง คาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจัยด้านการอัพเกรดเครื่อง การเติบโตของตลาดเกมมิ่งแล็ปท็อป และผลิตภัณฑ์ที่รองรับ 5G และ AI

– โทรทัศน์ขนาดใหญ่ (55 นิ้วขึ้นไป) เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคเลือกอัพเกรดไปยังโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสูงขึ้นและคุณสมบัติขั้นสูง เช่น QLED

– มีการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการส่งเสริมการลงทุน (Production Linked Incentive – PLI) ของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งดึงดูดทั้งบริษัทในประเทศและต่างประเทศให้ตั้งโรงงานผลิตในอินเดีย

โดยภาพรวมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคของอินเดียยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสนับสนุนจากภาครัฐ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สินค้าในกลุ่มพกพาและอุปกรณ์ที่รองรับ 5G ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่แนวโน้ม พรีเมียมของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

บริษัทที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ๆ เช่น อุปกรณ์สวมใส่ เทคโนโลยี AI และการค้าปลีกออนไลน์ จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในตลาดอินเดียที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

 โอกาสและความท้าทายในตลาดอินเดีย

โอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย

– ตลาดสินค้าพรีเมียมและไฮเอนด์ กำลังเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง

– ความนิยมของ E – commerce ช่วยให้ผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น

– กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและครีเอเตอร์ สนใจสินค้าที่สามารถช่วยเพิ่มคุณภาพคอนเทนต์ของตน

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

– การแข่งขันสูง โดยแบรนด์ญี่ปุ่น และเกาหลีที่เป็นผู้เล่นหลักในการครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาด

– การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลให้อุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมตกรุ่นได้อย่างรวดเร็ว

– ปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายกับสินค้าฟุ่มเฟือย

 ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่ตลาด

  1. เจาะกลุ่มตลาดเฉพาะทาง (Niche Market)

โดยมุ่งเน้นเจาะกลุ่มตลาดสินค้าระดับพรีเมียมที่มีคุณสมบัติแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิ ลำโพงระดับ Hi-end กล้อง Mirrorless หรืออุปกรณ์เสริมสำหรับนักสร้างคอนเทนต์ ประกอบกับการพัฒนาฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ง่าย เช่น ระบบ AI และ Smart Connectivity

  1. การใช้แพลตฟอร์ม E – commerce ในการเข้าถึงผู้บริโภคอินเดีย

เนื่องจาก E – commerce กำลังขยายตัวอย่างมากในอินเดีย การใช้แพลตฟอร์มอย่าง Amazon India และ Flipkart จึงเป็นช่องทางที่ดีในการจำหน่ายและกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภค รวมถึงการใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น WhatsApp, Facebook, YouTube และ Instagram เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและนักสร้างคอนเทนต์

  1. การสร้างจุดขายที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟน เช่น

– กล้องถ่ายภาพ ควรเน้นคุณภาพของภาพและการปรับแต่งที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟน

– เครื่องเสียง เน้นคุณภาพเสียงและฟังก์ชันที่สมาร์ททีวีหรือสมาร์ทโฟนไม่สามารถให้ได้

  1. การพิจารณาแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น

เพื่อขยายการจัดจำหน่ายและสร้างแบรนด์ในตลาดอินเดีย อาทิ การร่วมทุน Joint Venture กับบริษัทอินเดีย อาจช่วยให้สามารถลดต้นทุนการผลิตและกระจายสินค้าในตลาดได้ง่ายขึ้น หรือการร่วมมือกับ Influencer และ YouTuber ท้องถิ่น เพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์

  1. การจัดตั้งศูนย์บริการและให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย

ผู้บริโภคชาวอินเดียให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายและการรับประกันสินค้า การจัดตั้งศูนย์บริการในเมืองใหญ่ อย่าง มุมไบ เดลี และเบงกาลูรู จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

 

แหล่งอ้างอิง

Euromonitor International, Computer and Peripherals in India, February 2025

Euromonitor International, Consumer Electronics in India, February 2025

Euromonitor International, Headphone in India, February 2025

Euromonitor International, Home Audio and Cinema in India, February 2025

Euromonitor International, Home Video in India, February 2025

Euromonitor International, Imaging Devices in India, February 2025

Euromonitor International, In-Car Entertainment in India, February 2025

Euromonitor International, Mobile Phone in India, February 2025

Euromonitor International, Portable Players in India, February 2025

Euromonitor International, Wearable Electronics in India, February 2025

**********************************************************************************

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเจนไน

มีนาคม 2568

 

thThai