การนำเข้าฝ้ายของอินเดียอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หลังผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ

รายงานจากหน่วยงานการค้าฝ้ายชั้นนำของอินเดียระบุว่า การนำเข้าฝ้ายของประเทศอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2568 เนื่องจากผลผลิตภายในประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นแม้อินเดียจะเป็นประเทศผู้ผลิตฝ้ายรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าฝ้ายจากอินเดียอาจช่วยพยุงราคาฝ้ายโลก ซึ่งเคยร่วงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี หลังจีน (ผู้บริโภคฝ้ายอันดับหนึ่งของโลก) ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าฝ้ายจากสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้อุปทานฝ้ายในตลาดโลกเกินความต้องการ
ข้อมูลจากองค์กรการค้าฝ้ายของอินเดีย (Cotton Association of India :CAI) ) ระบุว่า การนำเข้าฝ้ายของอินเดียในปี งบประมาณ 2024/25 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) อาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านเบล จากเดิม 1.52 ล้านเบลในปีที่ผ่านมา ( 1 เบลของฝ้ายอินเดีย = 170 กิโลกรัม) สาเหตุหลักมาจากผลผลิตภายในประเทศที่คาดว่าจะมีปริมาณต่ำกว่าการใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกลดลงและสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ดี อินเดียนำเข้าฝ้ายจากต่างประเทศจำนวน 2.2 ล้านเบล ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 โดยผลผลิตฝ้ายภายในประเทศของปีการผลิตปัจจุบันคาดว่าจะลดลง 10% จากปีก่อนหน้า เหลืออยู่ที่ 29.53 ล้านเบล ในขณะที่ความต้องการใช้ฝ้ายภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 31.5 ล้านเบล
สถานการณ์ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา อินเดียมีการนำเข้าฝ้ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาฝ้ายภายในประเทศถูกกดดันและตอกย้ำความจำเป็นต้องยกระดับด้านผลิต เกษตรกรเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเพิ่มผลผลิตต่อไร่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของฝ้ายอินเดียในตลาดโลก ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้มีมาตรการรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและการตอบสนองของภาคอุตสาหกรรม โดยงบประมาณสหภาพอินเดียปี 2025 ได้เปิดตัวโครงการพัฒนาฝ้าย “Cotton Mission” เพื่อเพิ่มผลผลิตและสนับสนุนเกษตรกรผ่านการวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ฝ้ายคุณภาพสูง ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ และจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อลดต้นทุนการปลูก และหน่วยงานภาคเอกชนโดย Cotton Corporation of India (CCI) มีส่วนร่วมในการการจัดซื้อฝ้าย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 CCI ได้จัดซื้อฝ้ายเกือบ 10 ล้านเบล (1 ล้านเบล = 170,000 กก.) และ 60% ของฝ้ายที่เข้าสู่ตลาดรายวันในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวถูกซื้อในราคาประกันขั้นต่ำ (Minimum Support Price: MSP)

การนำเข้าฝ้ายของอินเดียอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หลังผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. อุตสาหกรรมสิ่งทออินเดีย อัตราส่วนกว่า 60% เป็นการส่งออกเสื้อผ้าที่ผลิตจากฝ้าย โดยโรงงานสิ่งทอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัตถุดิบฝ้ายราคาประหยัดเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เนื่องจากราคาตลาดต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ หรือ MSP ประกอบกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาประกันขั้นต่ำ (MSP) อยู่ที่ 7,235 รูปี/ควินตัล โดยมีราคาตลาดเปิดที่ 5,000-5,500 รูปี/ควินตัล (ขาดทุน 25-30%)
2. โรงงานผลิตสินค้าโดยเฉพาะผ้าฝ้าย มีการนำเข้าฝ้ายจากต่างประเทศด้วยเหตุผลสำคัญประกอบด้วย 1) ความได้เปรียบด้านราคา 2) ความพร้อมในตลาดต่างประเทศ เช่น บราซิล สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแอฟริกา ผลิตฝ้ายในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้มีตัวเลือกมากขึ้น และ 3) การนำเข้าปลอดภาษีผ่านมาตรการ Extra Long Staple (ELS) และยังได้รับประโยชน์จากโครงการ Advance Authorisation Scheme ซึ่งอนุญาตให้มีการนำเข้าปลอดภาษีสำหรับการผลิตเพื่อการส่งออก
ความท้าทายของอุตสาหกรรม
1. โรงงานสิ่งทอในอินเดียมีความต้องการฝ้ายและเส้นด้ายคุณภาพสูง ซึ่งประเทศไทยสามารถวางตำแหน่งตนเองในฐานะซัพพลายเออร์สิ่งทอที่ผลิตจากฝ้ายระดับพรีเมียม โดยเฉพาะในส่วนของเส้นด้ายและผ้า
2. การเพิ่มขึ้นของการส่งออกสิ่งทอจากอินเดียสร้างโอกาสสำหรับซัพพลายเออร์ไทยที่ผลิตผ้าพรีเมียม สิ่งทอสังเคราะห์ และวัสดุสำหรับผลิตเสื้อผ้านวัตกรรม
3. ปัจจุบัน อินเดียได้นำเข้าฝ้ายในราคาที่ต่ำกว่าจากบราซิล สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกา ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งไม่ใช่ผู้ส่งออกฝ้ายรายใหญ่ อาจพบว่าการแข่งขันกับประเทศเหล่านี้เป็นเรื่องยาก

ข้อคิดเห็น
การนำเข้าฝ้ายของอินเดียที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นถึงช่องว่างโครงสร้างระหว่างอุปทานและอุปสงค์ ซึ่งการผลิตในประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศได้ ราคาฝ้ายในตลาดสากลที่อ่อนลงกับต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่สูง ทำให้การนำเข้ากลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับโรงงานสิ่งทอในอินเดีย แม้ว่าแนวโน้มนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตสิ่งทอในระยะสั้น แต่ก็ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวสำหรับเกษตรกรในประเทศ ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูลการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับฝ้าย (Cotton) รวมถึงเส้นด้ายและผ้าทอจากฝ้าย (พิกัด 52 ) มีมูลค่าการนำเข้า 1,215,405,609 เหรียญสหรัฐ ขยายตัว 49.51 เปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมา โดยตลาดนำเข้าสำคัญได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อียิปต์ จีน และบราซิล ตามลำดับ โดยประเทศไทยครองลำดับที่ 29 ทั้งนี้ ในปี 2567 ตลาดอินเดียนำเข้าจากไทยสินค้าผ้าทอจากฝ้ายที่มีส่วนผสมของฝ้ายไม่น้อยกว่า 85% โดยมีน้ำหนักมากกว่า 200 กรัม/ตร.ม. (พิกัด 5209) คิดเป็นมูลค่า 2,076,624 เหรียญสหรัฐ ปริมาณ 623,142 ตารางเมตร โดยเชิงมูลค่าขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.51 % สำหรับสินค้าในพิกัดดังกล่าวจะนำเข้าเพื่อไปผลิตเสื้อผ้า (กางเกงยีนส์ กระโปรงหนา เสื้อแจ็คเก็ต) กระเป๋าเป้และอุปกรณ์แฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ผ้า (เช่น ผ้าคลุมโซฟา) ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ผ้าใบคลุมรถ ผ้าคลุมสินค้า) ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณาความต้องการของอินเดียที่เพิ่มขึ้นสำหรับผ้าผสมคุณภาพสูง (Blended Fabrics) ผ้าเทคนิค (Performance Textiles) และ เสื้อผ้าสำหรับตลาดหรู (Luxury Garments) โดยควรมุ่งเน้นไปที่การเจาะตลาดกลุ่มเฉพาะ (Niche) ที่โรงงานสิ่งทออินเดียต้องการวัสดุเฉพาะทาง ประกอบกับการใช้จุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสิ่งทอและเครื่องจักรทางการเกษตร ควบคู่ไปกับประสบการณ์การผลิตผ้าเฉพาะทางสำหรับตลาดระดับสูง เพื่อเจาะตลาดและสร้างจุดยืนของสินค้าในตลาดอินเดียต่อไป

การนำเข้าฝ้ายของอินเดียอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หลังผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ
Branch of ripe cotton on the cotton field, Uzbekistan

ที่มา: 1 • https://www.business-standard.com/industry/news/india-s-cotton-imports-to-double-as-output-falls-short-says-trade-body-125031100682_1.html
2.https://www.gleaf.in/news/indias-cotton-imports-to-double-as-output-falls-short-says-trade-body

thThai