ศรีลังกามุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ และการสนับสนุนความช่วยเหลือจาก IMF โดยบรรลุข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้กับญี่ปุ่นเป็นฉบับแรก

รัฐบาลศรีลังกาได้ลงนามในข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้กับประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่า 369.45 พันล้านเยน  หรือประมาณ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับเป็นข้อตกลงอย่างเป็นทางการฉบับแรกกับกลุ่ม Official Creditor Committee (OCC) โดยข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กำหนดให้เป็นเงื่อนไขสำคัญในการฟื้นตัวของประเทศศรีลังกา

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ศรีลังกาได้ประกาศบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งหมดในการขอขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไปจนถึงปี 2571 แต่เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการเจรจาและจัดทำข้อตกลงทางกฎหมาย ข้อตกลงกับญี่ปุ่นจึงกลายเป็นข้อตกลงฉบับแรกที่มีการลงนามอย่างเป็นทางการ

โดยกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นระบุว่า ศรีลังกามีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในมหาสมุทรอินเดีย การพัฒนาอย่างยั่งยืนของศรีลังกาจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก พร้อมกันนี้ยังได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนศรีลังกาอย่างต่อเนื่อง

ด้านกระทรวงการคลังของศรีลังกากล่าวว่า ญี่ปุ่นถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยภาวะความเป็นผู้นำ ความมุ่งมั่น และการเจรจาเชิงสร้างสรรค์ของญี่ปุ่น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ศรีลังกาสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเป็นเจ้าหนี้ทวิภาคีรายใหญ่ที่สุดของศรีลังกา โดยมียอดหนี้คิดเป็นมูลค่า 4.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากยอดหนี้ทวิภาคีทั้งหมด 1.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับ 2 ด้วยยอดหนี้มูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

โดยในปี 2567 ศรีลังกาได้สรุปข้อตกลงการชำระหนี้กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (China Exim Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีน (China Development Bank) แต่ยังคงไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับเงื่อนไขของข้อตกลงเหล่านั้น

ญี่ปุ่นจึงนับเป็นประเทศแรกในกลุ่มสมาชิก Official Creditor Committee  (OCC) ที่ลงนามในข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเป็นทางการ โดยสมาชิก OCC มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ประเทศ ประกอบด้วย อินเดีย ญี่ปุ่น ฝั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน สวีเดน ฮังการี เกาหลี เยอรมนี เดนมาร์ก ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยี่ยม แคนาดา รัสเซีย และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจีนไม่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดังกล่าว

ทั้งนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศศรีลังกาเริ่มฟื้นตัวภายหลังการได้รับเงินช่วยเหลือจาก IMF และการดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง

โดยศรีลังกาได้รับความช่วยเหลือจาก IMF คิดเป็นมูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2566 หลังจากที่ศรีลังกาประกาศผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ คิดเป็นมูลค่า 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนเมษายน 2565 เนื่องจากขาดแคลนเงินตราต่างประเทศอย่างรุนแรง จนไม่สามารถนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร และเชื้อเพลิงได้

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 คริสตาลินา จอร์จีวา (Kristalina Georgieva) ผู้อำนวยการ IMF ได้กล่าวชื่นชมศรีลังกาในการประชุมทางออนไลน์กับประธานาธิบดีอนุระ คูมาระ ดิสสนายาเก (Anura Kumara Dissanayake) ว่าศรีลังกามีการพลิกฟื้นที่น่าทึ่ง พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนศรีลังกาต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีอนุระ คูมาระ ดิสสนายาเก ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน 2567 ได้ประกาศในดือนพฤศจิกายน 2567 ว่ารัฐบาลจะปฏิบัติตามข้อตกลงที่เจรจาไว้โดยรัฐบาลชุดก่อน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตร (International Sovereign Bonds – ISB) มูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการคงสถานะเงินกู้ช่วยเหลือจาก IMF จำนวน 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมทั้งได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะลดภาระหนี้สินของประเทศและกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน โดยมีแผนที่จะออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองนักลงทุน (Investor Protection Act) รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการลงทุน

โดยการปรับโครงสร้างหนี้ที่กำลังดำเนินอยู่ รวมถึงความร่วมมือกับ IMF ตลอดจนมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับโครงสร้าง ถือเป็นปัจจัยที่อาจช่วยให้ศรีลังกาสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ส่งผลให้ IMF ประเมินว่าการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของศรีลังกากำลังส่งผลลัพธ์เชิงบวก โดยระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ถึงร้อยละ 40 ของมูลค่าที่ลดลงระหว่างปี 2561 – 2566

อย่างไรก็ดี แม้ว่ามาตรการปฏิรูปของศรีลังกาจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างนโยบายที่เข้มงวดของ IMF และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการลงทุน รวมไปถึงการสร้างสมดุลระหว่างการปฏิรูปทางเศรษฐกิจกับความเป็นอยู่ของประชาชนและการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน ซึ่งนับเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลศรีลังกาต้องเผชิญในระยะต่อไป

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ:

ศรีลังกาถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย สามารถใช้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยในการเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของศรีลังกา เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณาขยายความร่วมมือทางธุรกิจและการลงทุนได้ในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลศรีลังกาและไทยมีศักยภาพ เช่น

อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป: ศรีลังกามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะชา เครื่องเทศ และสินค้าเกษตรอื่นๆ ขณะที่ไทยมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร ไทยสามารถส่งออกเครื่องจักรแปรรูปสินค้าเกษตร และลงทุนในโรงงานผลิตสินค้าสำเร็จรูปเพื่อจำหน่ายทั้งในศรีลังกาและส่งออกไปตลาดอื่น ๆ

การท่องเที่ยวและการบริการ: ศรีลังกามีศักยภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม ขณะที่ไทยมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การลงทุนในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยวสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวกลุ่มระดับกลางและระดับสูงที่เพิ่มขึ้น

พลังงานหมุนเวียน: ศรีลังกากำลังส่งเสริมการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญและสามารถเข้าไปลงทุนในโครงการเหล่านี้ได้

การพัฒนาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลศรีลังกากำลังผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปมีส่วนร่วม

ธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์: โครงการพัฒนาท่าเรือโคลัมโบ และท่าเรือแฮมบันโตตา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งในมหาสมุทรอินเดีย บริษัทที่ทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของไทยอาจพิจารณาแสวงหาพันธมิตรในการร่วมทุนพัฒนาระบบและสร้างเครือข่ายทางด้านโลจิสติกส์

นอกจากนี้ ศรีลังกาและไทยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจผ่านกลไกต่าง ๆ อาทิ ข้อตกลงการค้าเสรีไทย – ศรีลังกา ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาและคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568 รวมถึงความร่วมมือพหุภาคีภายใต้กรอบ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งสามารถช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและขยายโอกาสส่งออกของไทยไปยังศรีลังกา รวมถึงเชื่อมโยงการค้าไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ รวมถึงภูมิภาคอื่นๆ ได้

แหล่งที่มา:

  1. Sri Lanka signs $2.5 billion debt deal with Japan, The Hindu, March 07, 2025,

https://www.thehindu.com/news/international/sri-lanka-signs-25-billion-debt-deal-with-japan/article69304050.ece

  1. IMF chief says Sri Lanka stabilised, pledges more help, CNA, March 08, 2025, https://www.channelnewsasia.com/asia/imf-chief-says-sri-lanka-stabilised-pledges-more-help-4987466
thThai