เนื้อข่าว
บริษัท BAF Vietnam Agriculture JSC ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการบริษัทปศุสัตว์ 2 แห่งในอำเภอล็อกนิงห์ (Loc Ninh) จังหวัดบิ่นห์เฟื้อก (Binh Phuoc) ของเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในภาคเกษตรกรรม โดยบริษัทเปิดเผยว่าได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 60 ในบริษัท Minh Phat Livestock Co., Ltd ซึ่งก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2565 และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 60,000 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 และเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 60 ในบริษัท Nhat Quyet Livestock Co., Ltd. ซึ่งก่อตั้งในเดือนเมษายน 2565 และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 60,000 ล้านเวียดนามด่ง ณ วันที่ 3 มกราคม 2568
การเข้าซื้อกิจการล่าสุดของบริษัท BAF Vietnam แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขยายตัวในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินการควบรวมและเข้าซื้อกิจการรวมทั้งหมด 11 แห่ง นอกจากการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุดแล้ว บริษัท BAF Vietnam ยังประกาศการถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ ได้แก่ ร้อยละ 70 ในบริษัท Hoa Phat Bon Livestock ร้อยละ 99.99 ใน บริษัท Tuyet Hoa Daklak Livestock ร้อยละ 95 ในบริษัท Khuyen Nam Tien High-Tech Livestock และร้อยละ 99.99 ในบริษัท NPH Thanh Xuan Clean Agriculture Development JSC
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม 2567 บริษัท BAF Vietnam ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 49 ในกลุ่มบริษัทปศุสัตว์ในจังหวัดกว๋างจิ (Quang Tri) ได้แก่ บริษัท Thanh Sen HT – QT JSC บริษัท Hoang Kim HT – QT JSC บริษัท Hoang Kim QT JSC บริษัท Viet Thai HT JSC และบริษัท Toan Thang HT JSC ซึ่งบริษัทเหล่านี้ทั้งหมดตั้งอยู่ในเมืองดงห่า (Dong Ha) จังหวัดกว๋างจิ และก่อตั้งขึ้นในปี 2564
(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 20 มกราคม 2568)
วิเคราะห์ผลกระทบ
หลังจากการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Muyuan Group ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของจีน บริษัท BAF Vietnam ได้เร่งดำเนินการขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ด้วยการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ 11 บริษัทในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยบริษัทเหล่านี้มีที่ดินและโรงนาอยู่ในครอบครอง และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเริ่มการก่อสร้าง และคาดว่าฟาร์มใหม่เหล่านี้จะเริ่มดำเนินงานได้ในปี 2568 – 2569 โดยจะมีกำลังการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ แม่สุกรจำนวน 63,000 ตัว และสุกรขุนจำนวน 500,000 ตัว
ปัจจุบัน บริษัท BAF Vietnam เป็นเจ้าของฟาร์มเทคโนโลยีขั้นสูง 36 แห่ง โดย 9 แห่งได้รับการรับรองมาตรฐาน Global GAP มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ 2 แห่ง ที่มีกำลังการผลิตรวม 460,000 ตันต่อปี มีเครือข่ายร้าน SibaFood 65 แห่ง และร้านขายเนื้อสัตว์ 350 แห่ง และมีฝูงสุกรในระบบ 500,000 ตัว ซึ่งเทียบเท่าศักยภาพการผลิตสุกรเชิงพาณิชย์ 1 ล้านตัวต่อปี
การควบรวมกิจการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายระยะยาวของบริษัท BAF Vietnam ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ โดยอาศัยโอกาสจาก กฎระเบียบการย้ายฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กในเขตเมืองและชุมชนที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568 ซึ่งช่วยเปิดทางให้บริษัทขนาดใหญ่ เช่น BAF Vietnam เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้น
การขยายตัวของบริษัท BAF Vietnam ส่งสัญญาณการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกสุกรรายสำคัญ โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแข่งขันในตลาดส่งออกสุกร โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีนและกัมพูชา และ การจับมือกับ Muyuan Group แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการดึงดูดพันธมิตรระดับโลกของ BAF Vietnam ซึ่งเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการไทยอาจต้องพิจารณาปรับตัวเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและมาตรฐานคุณภาพ รวมถึงสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค
นำเสนอโอกาส/แนวทาง
บริษัท BAF Vietnam เร่งขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์การควบรวมและเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อกิจการบริษัทปศุสัตว์ 11 แห่งในพื้นที่ ส่งผลให้ฝูงสุกรของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 330,000 ตัว ณ สิ้นปี 2566 เป็น 520,000 ตัว ณ เดือนกันยายน 2567 คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 73 นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าขยายฟาร์มเพิ่มเป็น 102 แห่งในปี 2573 พร้อมขยายกำลังการผลิตสุกรขุนเป็นปีละ 10 ล้านตัว หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าจากปัจจุบัน เพื่อตอบสนองความต้องการเนื้อหมูที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม
สำหรับผู้ประกอบการไทย โอกาสทางธุรกิจอยู่ที่การส่งออกเนื้อหมูและสุกรมีชีวิตเข้าสู่ตลาดเวียดนาม โดยเฉพาะในช่วงที่ความต้องการเนื้อหมูในตลาดเวียดนามเพิ่มขึ้น อีกทั้ง การพัฒนาคุณภาพสินค้าด้วยมาตรฐานระดับสากล เช่น Global GAP และการจับมือพันธมิตรด้านเทคโนโลยีหรืออาหารสัตว์ในเวียดนามจะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดอาเซียน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรติดตามกฎระเบียบการค้าและการนำเข้าอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น