ที่มา : สำนักข่าว Bernama
CIMB Securities กล่าวว่ามาเลเซียมีความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ที่จะได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งทางการค้าอันมีต้นตอมาจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ โดยมองว่าประเทศมาเลเซียจะได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ จีนบวกหนึ่ง ของประเทศจีน และไม่ได้รับผลจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นโยบายด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจจะจำกัดกิจกรรมการขนถ่ายสินค้าทั่วโลก แต่ก็อาจเร่งให้จีนดำเนินกลยุทธ์จีนบวกหนึ่งให้เข้มข้นขึ้น ส่งผลต่อมาเลเซียในฐานะจุดผ่านแดนสำหรับการค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
CIMB ได้ระบุว่ามาเลเซียมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47.2 ระหว่างสงครามการค้าในปี 2018 โดยเพิ่มขึ้นอย่างมากจากจีนและสหรัฐฯ ในปี 2019 ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีการแข่งขันและต้นทุนการผลิต โดยมาเลเซียได้ผลกำไรเชิงบวกของดุลการค้ารวมกับสหรัฐฯ และจีน ที่เติบโตขึ้นร้อยละ 1.3 ของ GDP ระหว่างปี 2560 ถึง 2566 จากภาคการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มในประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 2.0 ที่กำลังใกล้เข้ามา เงื่อนไขการค้าของมาเลเซีย ซึ่งเป็นการวัดราคาสัมพันธ์ระหว่างการส่งออกกับการนำเข้า มีแนวโน้มจะปรับปรุงขึ้น โดยได้รับแรงผลักดันจากการเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการฟื้นตัวของการส่งออก จากการเติบโตในช่วงที่ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มาเลเซียคาดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในภาคส่วนสำคัญๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สารเคมี และน้ำมันปาล์ม
ซึ่งมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำในกลุ่มอาเซียนร่วมกับไต้หวัน เวียดนาม และกัมพูชา ที่สามารถบูรณาการเศรษฐกิจของประเทศให้เข้ากับห่วงโซ่การค้าระดับโลกและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น
CIMB กล่าวถึงความร่วมมือของประเทศกับกลุ่ม BRICS ว่า การที่มาเลเซียกำหนดให้มาเลเซียเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม BRICS แทนที่จะเป็นสมาชิกเต็มตัวนั้น สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการขึ้นภาษีนำเข้า 100% ที่ทรัมป์เสนอต่อกลุ่มประเทศ BRICS โดยมุ่งหวังที่จะใช้สกุลเงินคู่แข่งกับดอลลาร์สหรัฐ ในด้านสกุลเงิน CIMB คาดว่าสกุลเงินของตลาดเกิดใหม่จะมีความผันผวน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงเนื่องจากนโยบายการค้าและภาษีของทรัมป์ส่งผลต่อการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ค่าเงินริงกิตแข็งค่าขึ้นเป็น 4.40 ริงกิตเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2568 และสถาบันวิจัยซึ่งคาดการณ์ว่า GDP ของมาเลเซียจะเติบโตร้อยละ 5 ในปีหน้า
บทวิเคราะห์ผลกระทบ
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ส่งผลให้หลายประเทศ รวมถึงมาเลเซีย ได้รับผลกระทบเชิงบวกในเชิงเศรษฐกิจและการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลกและโอกาสทางการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
- บริษัทข้ามชาติบางแห่งเลือกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจากนโยบายการค้าที่เข้มงวดของสหรัฐฯ มาเลเซียเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานที่มีฝีมือ และความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์.
- มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายสำคัญของโลก ได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ แทนสินค้าที่เดิมนำเข้าจากจีน.
- ความต้องการน้ำมันปาล์มของมาเลเซียเพิ่มขึ้น เนื่องจากจีนอาจลดการนำเข้าสินค้าทางการเกษตร เช่น ถั่วเหลือง จากสหรัฐฯ แล้วเปลี่ยนมานำเข้าจากประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน รวมถึงมาเลเซีย.
- ในช่วงความขัดแย้ง มาเลเซียได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนผ่านข้อตกลงที่ไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ เช่น Belt and Road Initiative และการเพิ่มบทบาทในกรอบการค้าอาเซียน (ASEAN).
- การโยกย้ายการลงทุนจากจีนมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงมาเลเซีย ช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์.
ความคิดเห็น สคต.
มาเลเซียอาจได้รับผลเชิงบวกจากความขัดแย้งทางการค้าที่นำโดยทรัมป์ สำนักงานฯ เห็นว่า เแม้มาเลเซียจะได้รับผลเชิงบวกจากสถานการณ์นี้ ซึ่งโอกาสต่างๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยเช่นกัน ทำให้มาเลเซียจะกลายเป็นคู่แข่งกันโดยตรง อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น:
- ความไม่แน่นอนในนโยบายของสหรัฐฯ และจีน
- ความสามารถในการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่เป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากความตึงเครียดทางการค้าที่ยังคงมีอยู่
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในบางภาคส่วน แต่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ไทยควรมุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์