รายงานเชิงลึก : เมืองรองศักยภาพ สิบสองปันนา
จีนให้ความสำคัญมณฑลยูนนานในฐานะที่เป็น“ประตูเชื่อมจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มีความเกี่ยวข้องกับ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของจีนในการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อจีนกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นๆ
สำหรับประเทศไทยก็ให้ความสำคัญกับมณฑลยูนนานในฐานะที่เป็นประตูมังกร 1) ที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ มณฑลยูนนานตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และมีพรมแดนติดกับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ทำให้ยูนนานมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางทางการค้าข้ามพรมแดน ยูนนานยังเชื่อมต่อกับ “เส้นทางการค้าทางบก” ที่นำไปสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ เช่น การเชื่อมต่อกับโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจีนในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างจีน (นครคุนหมิง) กับ สปป.ลาว (เวียงจันทน์) ทำให้มณฑลยูนนานกลายเป็นประตูเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านทางบกอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาด่านขนส่งทางอากาศและทางบก รวมถึงท่าเรือในมณฑลยูนนาน ช่วยเพิ่มความสะดวกในการค้าขายและการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากมณฑลยูนนานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 3) ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้า มณฑลยูนนานได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ผ่านการสนับสนุนโครงการลงทุนจากรัฐบาลจีน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลก การค้ากับประเทศในกลุ่มอาเซียน มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะการค้าเกษตรและพลังงาน ทำให้มณฑลยูนนานมีบทบาทสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและประเทศอาเซียน 4) ยุทธศาสตร์การขยายความสัมพันธ์กับอาเซียน จีนได้กำหนดให้มณฑลยูนนานเป็นพื้นที่สำคัญในการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าผลไม้ สินค้าเกษตร และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ มณฑลยูนนานยังเป็นฐานในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การสนับสนุนการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนและการเปิดเส้นทางการบินระหว่างเมืองใหญ่ในมณฑลยูนนานกับประเทศในอาเซียน
มณฑลยูนนานได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบายของจีนที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้ในฐานะ “ประตูมังกร” ซึ่งเป็นประตูสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า และความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.ยุทธศาสตร์สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง หรือมีชื่อย่อว่า สคต.คุนหมิง เป็นสำนักงานภายใต้การกำกับดูแลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีภารกิจในการติดตามภาวะและความเคลื่อนไหวทางการค้า สำรวจความต้องการของสินค้าและช่องทางการค้าในตลาดเขตอาณา และเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างประเทศไทยและจีน เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเขตความรับผิดชอบของ สคต.คุนหมิง ประกอบด้วย มณฑลยูนนาน มณฑลชิงไห่ เขตปกครองตนเองซินเจียง เขตปกครองตนเองทิเบต
ยุทธศาสตร์สำคัญของ สคต.คุนหมิง ดังนี้ 1) สนับสนุนการส่งออก จัดหาตลาดใหม่ๆ ส่งเสริมสินค้าและบริการ ของไทยในเขตอาณา 2) จัดงานแสดงสินค้าและกิจกรรมทางการค้า จัดงานแสดงสินค้าในเขตอาณาเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ 3) ให้ข้อมูลตลาดและแนวโน้มการค้า จัดหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดในเขตอาณาเพื่อช่วยผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจ 4) เชื่อมโยงเครือข่ายการค้า ช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและคู่ค้าต่างประเทศ นอกจากการให้ความสำคัญเมืองหลักในเขตอาณา (มณฑลยูนนาน มณฑลชิงไห่ เขตปกครองตนเองซินเจียง เขตปกครองตนเองทิเบต) ยังให้ความสำคัญเมืองรองต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยเมืองรองศักยภาพมี 2 แนวคิด ได้แก่ เมืองรองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางรถไฟลาว-จีน (สิบสองปันนา อวี่ซี ผู่เออร์) เมืองรองแห่งการท่องเที่ยว (ต้าหลี่ ลี่เจียง แชงกรีล่า) โดยการมุ่ง สร้าง Demand สินค้าไทยในตลาดเมืองรอง ประชาสัมพันธ์ Soft Power สินค้าไทย และเร่งสร้างเครือข่ายธุรกิจไทย-จีน ให้เกิดการค้าการลงทุนร่วมกัน การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ สร้างทัศนคติที่ดี และความนิยมในสินค้าไทย เพิ่มมากขึ้น เพื่อกระตุ้นปริมาณการบริโภคสินค้าไทย กระจายสินค้าไทยให้ครอบคลุมทั่วประเทศจีน
นอกจากนี้ สคต.คุนหมิง ยังมุ่งเน้นส่งเสริมการเจาะตลาดจีนด้วย Cross Border E-Commerce อย่างครบวงจร ช่วยสร้างโอกาสให้ SMEs ได้ทดลองตลาดจีนด้วยกฎระเบียบการนำเข้าที่ผ่อนปรน การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ สร้างทัศนคติที่ดี และความนิยมในสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น กระตุ้นปริมาณการบริโภคสินค้าไทย
2.ข้อมูลเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาอยู่ในเขตอาณาของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ติดกับแขวงหลวงน้ำทา แขวงพงสาลี ของ สปป.ลาว และรัฐฉานของพม่า มีแม่น้ำโขงไหลผ่านตอนกลาง ซึ่งประเทศจีน เรียกว่า แม่น้ำล้านช้าง มีเส้นทางเชื่อมโยงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเส้นทาง R3A และเส้นทางรถไฟลาว-จีน ที่เชื่อมไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของจีนและทั่วโลก การแบ่งเขตปกครอง ออกเป็น นครหลวง 1 แห่ง ได้แก่ จิ่งหง และอำเภอ 2 แห่ง คือเหมิงไห่และเหมิงล่า
ประชากรเขตปกครองตนเองขนชาติไทสิบสองปันนา มีจำนวน 1,308,000 คน แบ่งออกเป็น ประชากรในเขตเมือง 633,200 คน และในเขตชนบท 674,800 คน นอกจากชาวฮั่น ยังมีประชากรชนกลุ่มน้อยอีก 13 ชนชาติ ได้แก่ ชาวไทลื้อ ฮานี อี๋ ลาหู่ ปู้หล่าง จีนั่ว เย้า ฮุย แม้ว ว้า จ้วง จิ่งโพ เต๋ออ๋าง
ข้อมูลจากสำนักสถิติเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา เกี่ยวกับรายงานสถิติการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ปี พ.ศ.2566 ณ เดือนเมษายน พ.ศ.2567 รายงานว่า ในปี พ.ศ.2566 ภายใต้การนำแนวนโยบายของคณะกรรมการกลางพรรคโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ทุกเขตการปกครองยึดตามแนวคิดลัทธิสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีนในยุคสมัยใหม่ของสีจิ้นผิง ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 20 และครั้งที่ 2 ของคณะกรรมการกลางพรรคฯชุดที่ 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างครอบคลุม ปฏิบัติตามแนวทางการตัดสินใจและการจัดการของพรรครัฐบาลกลาง สภาแห่งรัฐและคณะกรรมการพรรคระดับมณฑล และรัฐบาลระดับมณฑล โดยยึดหลักการแสวงหาความก้าวหน้าและรักษาเสถียรภาพ ดำเนินงาน ตามแนวทางการพัฒนาใหม่อย่างเต็มที่ แม่นยำ และครอบคลุม เร่งสร้างรูปแบบการพัฒนาใหม่ มุ่งส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูง และพัฒนา “อุตสาหกรรมหลัก 7 แห่ง” ดำเนินการเป็นเวลา 3 ปี พยายามแก้ปัญหา ส่งเสริมการพัฒนา ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของเขตปกตรองมีเสถียรภาพและมีความก้าวหน้า
2.1 ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าของเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
จากผลเบื้องต้นของระบบ GDP ภูมิภาคเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 บรรลุผลิตภัณฑ์มวลรวมของภูมิภาค (GDP) มูลค่า 77,826.89 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอุตสาหกรรมที่ 1 มีมูลค่าเพิ่ม 18,306.06 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.1% อุตสาหกรรมที่ 2 มีมูลค่าเพิ่ม 18,395.52 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 0.1% อุตสาหกรรมที่ 3 มีมูลค่าเพิ่ม 41,125.31 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 7.8% โดยมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมที่ 1 คิดเป็น 23.5% มูลค่าเพิ่มอุตสาหกรรมที่ 2 คิดเป็น 23.6% และมูลค่าเพิ่มอุตสาหกรรมที่ 3 คิดเป็น 52.9% ในส่วน GDP ต่อคน 58,938 หยวน เพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลิตภาพแรงงานโดยรวม 100,550 หยวน/คน เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภาคเอกชน 48,064.52 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็น 63.2% ของ GDP เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อสิ้นปี พ.ศ.2566 เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนามีประชากร จำนวน 1.333 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25,000 คน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีประชากรในเขตเมือง จำนวน 672,100 คน คิดเป็น 50.42% ของจำนวนรวมประชากร การเกิด จำนวน 9,100 คน อัตราการเกิด 6.89% การเสียชีวิต จำนวน 9,600 คน อัตราการเสียชีวิต 7.27% อัตราการเติบโตตามธรรมชาติ -0.38% เมื่อสิ้นปี พ.ศ.2566 จำนวนประชากรที่ขึ้นทะเบียน 1,024,500 คน เพิ่มขึ้น 3,500 คน เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยประชากรที่ขึ้นทะเบียนในเมือง จำนวน 415,300 คน คิดเป็น 40.54% ของประชากรที่ขึ้นทะเบียน และชนกลุ่มน้อย จำนวน 795,500 คน คิดเป็น 77.63%
อัตราการขยายตัวประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง 50.42% เพิ่มขึ้น 2.01% เมื่อเทียบกับปีก่อน
การจ้างงานทั่วเขตปกครอง จำนวน 728,500 คน เพิ่มขึ้น 3,400 คน เมื่อเทียบกับปีก่อน
ราคาการบริโภคในครัวเรือนทั้งปี เพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยราคาค่าอาหาร เพิ่มขึ้น 2.1%
ตารางที่ 1 อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคปี พ.ศ.2566
รายการ | หน่วย | อัตราการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน |
ดัชนีราคาผู้บริโภค | % | 1.0 |
อาหาร บุหรี่และเหล้า | % | 2.0 |
เสื้อผ้า | % | 1.0 |
ที่พักอาศัย | % | 1.3 |
การให้บริการและของใช้ในชีวิตประจำวัน | % | 0.0 |
การคมนาคมและการสื่อสาร | % | -2.6 |
การศึกษา วัฒนธรรมและสันทนาการ | % | 1.3 |
การรักษาสุขภาพและทางการแพทย์ | % | 0.7 |
ของใช้และบริการอื่น ๆ | % | 15.6 |
2.2 ภาคการเกษตร
มูลค่าผลผลิตรวมของการเกษตร การป่าไม้ การเลี้ยงสัตว์ และการประมงในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 30,024.82 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่าผลผลิตการเกษตร จำนวน 18,420.91 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 6.7% มูลค่าผลผลิตการป่าไม้ จำนวน 6,989.78 ล้านหยวน ลดลง 0.6% มูลค่าผลผลิตการเลี้ยงสัตว์ จำนวน 2,126.43 ล้านหยวน ลดลง 2.0% มูลค่าผลผลิตการประมง จำนวน 1,712.68 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.8% มูลค่าผลผลิตของสาขาวิชาการเกษตร การป่าไม้ การเลี้ยงสัตว์ และการประมง รวมถึงกิจกรรมเสริม จำนวน 775.02 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.2%
พื้นที่ปลูกข้าวในปี พ.ศ.2566 จำนวน 1.2953 ล้านmu (539,708.33 ไร่) เพิ่มขึ้น 9,100 mu (3,791.66 ไร่) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีพื้นที่ปลูกอ้อย 180,700 mu (75,291.66 ไร่) ลดลง 36,000 เอเคอร์ พื้นที่ปลูกผัก 453,800 mu (189,083.33 ไร่) เพิ่มขึ้น 31,700 mu (13,208.33) ในสิ้นปี พ.ศ.2566 พื้นที่ปลูกใบชา 1.4294 ล้านmu (595,583.33 ไร่) ลดลง 3,800 mu (1583.33 ไร่) พื้นที่ปลูกผลไม้ 872,800 mu (363,666.66 ไร่) เพิ่มขึ้น 86,900 mu (36,208.33 ไร่) พื้นที่ปลูกยางพารา 4.5222 ล้าน mu (188,4250 ไร่) เพิ่มขึ้น 9,900 mu (4,125 ไร่)
ผลผลิตทั้งปีของธัญพืช ใบชา ผลไม้ ผัก เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
ตารางที่ 2 อัตราการเติบโตของปริมาณผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรประเภทสำคัญ พ.ศ.2566
ประเภทสินค้า | หน่วย | ปริมาณ | อัตราการเติบโต % |
ธัญญาหาร | หมื่นตัน | 50.14 | 1.1 |
ยางแห้ง | หมื่นตัน | 33.73 | -0.1 |
ใบชา | หมื่นตัน | 6.65 | 1.7 |
อ้อย | หมื่นตัน | 94.32 | -14.5 |
ผลไม้ | หมื่นตัน | 129.05 | 11.2 |
ผัก | หมื่นตัน | 54.49 | 9.7 |
ผลผลิตเนื้อสัตว์ทั้งปีโดยรวม 42,400 ตัน เพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีผลผลิตเนื้อหมู 27,900 ตัน เพิ่มขึ้น 6.5% ผลผลิตเนื้อวัว 4,100 ตัน เพิ่มขึ้น 5.1% ผลผลิตสัตว์ปีก 10,000 ตัน เพิ่มขึ้น 6.4% ผลิตไข่ 4,900 ตัน เพิ่มขึ้น 14.0% ในสิ้นปี พ.ศ.2566 มีสุกรมีชีวิตในคอก จำนวน 309,500 ตัว ลดลง 7.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน สุกรมีชีวิตออกจากคอก จำนวน 351,300 ตัว เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน
พื้นที่เพาะพันธุ์ทางประมง จำนวน 86,100 เอเคอร์ ลดลง 3,400 เอเคอร์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำทั้งปี จำนวน 91,800 ตัน เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
2.3 ภาคอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง
มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,081.38 ล้านหยวน ลดลง 11.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ลดลง 14.9% จากมุมมองด้านเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มูลค่าเพิ่มของรัฐวิสาหกิจ ลดลง 1.0% วิสาหกิจร่วมหุ้น ลดลง 17.0% วิสาหกิจลงทุนจากต่างประเทศ ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ลดลง 13.2% วิสาหกิจเอกชน ลดลง 26.1%
เมื่อแยกตามหมวดหมู่ มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ลดลง 25.6% อุตสาหกรรมการผลิต ลดลง 17.1% และอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า ความร้อน ก๊าซ น้ำ และ ลดลง 4.2%
มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเหมืองแร่เหล็ก ลดลง 28.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน อุตสาหกรรมน้ำตาล ลดลง 1.7% อุตสาหกรรมแปรรูปชา ลดลง 25.6% อุตสาหกรรมการผลิตยางสังเคราะห์ ลดลง 6.1% และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ แร่อโลหะ เพิ่มขึ้น 10.6% อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า ลดลง 15.6% และอุตสาหกรรมการจัดหาไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 22.2%
กำไรทั้งปีของวิสาหกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จำนวน 2,138.4 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 33.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในมุมมองด้านเศรษฐกิจ ผลกำไรของรัฐวิสาหกิจ เพิ่มขึ้น 18.6% วิสาหกิจร่วมหุ้น เพิ่มขึ้น 21.8% วิสาหกิจเอกชนลงทุนจากต่างประเทศ ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน เพิ่มขึ้น 258.5% เมื่อแยกตามหมวดหมู่ กำไรรวมของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เพิ่มขึ้น 529.1% อุตสาหกรรมการผลิต เพิ่มขึ้น 45.8% และอุตสาหกรรมการผลิตและจัดหาไฟฟ้า ความร้อน ก๊าซ และน้ำ ลดลง 5.6%
ตารางที่ 3 อัตราการเติบโตของปริมาณผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมประเภทสำคัญ พ.ศ.2566
ประเภทสินค้า | หน่วย | ปริมาณ | อัตราการเติบโต % |
แร่เหล็ก | หมื่นตัน | 143.46 | 35.5 |
น้ำตาล | หมื่นตัน | 47.95 | 59.2 |
เบียร์ | พันลิตร | 10,071 | -24.6 |
ชากลั่น | หมื่นตัน | 2.82 | 52.7 |
ยางสังเคราะห์ | หมื่นตัน | 92.79 | -7.3 |
ยาแพทย์แผนจีน | ตัน | 149 | -51.0 |
ปูนซีเมนต์ | หมื่นตัน | 132.44 | -7.1 |
ปริมาณการผลิตกระแสไฟฟ้า | หมื่น kWh | 561,737 | -7.9 |
มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมการก่อสร้างเพื่อสังคมในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,326.49 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าผลผลิตรวมของบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไปและผู้รับเหมาก่อสร้างมืออาชีพ จำนวน 7,563.09 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 26.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีกำไร จำนวน 71.7 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 38.5%
2.4 ภาคการบริการ
มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมการค้าส่งและค้าปลีกในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,207.23 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่ง คลังสินค้า และไปรษณีย์ จำนวน 3,830.28 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 31.9% มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมที่พักและการจัดเลี้ยง จำนวน 3,823.64 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21.4% มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมการเงิน จำนวน 3,244.29 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.7% มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6,422.67 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.2% มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมการบริการอื่นๆ จำนวน 14,682.33 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.4% รายได้จากการดำเนินงานทั้งปีของวิสาหกิจอุตสาหกรรมบริการ เพิ่มขึ้น 23.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน กำไรรวมเพิ่มขึ้น 100.0%
ปริมาณการขนส่งสินค้ารวมตลอดทั้งปี จำนวน 36.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณหมุนเวียนการขนส่งสินค้า จำนวน 5,820.9 ล้านตันต่อกิโลเมตร เพิ่มขึ้น 26.4% จำนวนขนส่งผู้โดยสารตลอดทั้งปี จำนวน 26.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 66.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณหมุนเวียนการขนส่งผู้โดยสาร จำนวน 5,523.34 ล้านคนต่อกิโลเมตร เพิ่มขึ้น 130.8%
ในสิ้นปี ค.ศ.2023 ปริมาณประกันรถยนต์ของประชากร จำนวน 268,200 คัน เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน โดยมีรถโดยสารส่วนบุคคล จำนวน 219,800 คัน เพิ่มขึ้น 7.9% รถขนส่งสินค้า จำนวน 47,400 คัน เพิ่มขึ้น 1.3% รถจักรยานยนต์ จำนวน 348,100 คัน ลดลง 2.5%
ปริมาณธุรกิจอุตสาหกรรมไปรษณีย์ตลอดทั้งปี จำนวน 516.04 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 30.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน อุตสาหกรรมไปรษณีย์ตลอดทั้งปี จดหมาย จำนวน 96,700 ฉบับ พัสดุ จำนวน 3,400 ชิ้น สั่งซื้อและจำหน่ายหนังสือพิมพ์/นิตยสาร รวมจำนวน 11.3966 ล้านฉบับ ปริมาณธุรกิจจัดส่งด่วน จำนวน 40.9184 ล้านชิ้น รายได้ธุรกิจจัดส่งด่วน จำนวน 437.44 ล้านหยวน
ปริมาณธุรกิจโทรคมนาคมตลอดทั้งปี จำนวน 1,599.09 ล้านหยวน ลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ผู้ใช้โทรศัพท์ในสิ้นปี จำนวน 1,648,100 ราย เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1,585,700 ราย เพิ่มขึ้น 6.1% อัตราการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ จำนวน 119 เครื่องต่อ 100 คน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต จำนวน 495,600 ราย เพิ่มขึ้น 5.3%
2.5 การค้าในประเทศ
มูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคค้าปลีกในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 30,665.33 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 12.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามสถิติที่ตั้งธุรกิจ มูลค่าขายปลีกสินค้าในเขตเมือง จำนวน 25,225.05 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 12.2% มูลค่าขายปลีกสินค้าในชนบท จำนวน 5,440.28 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 16.3% ตามสถิติประเภทการบริโภค ยอดขายปลีกสินค้า จำนวน 23,961.94 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 12.1% รายได้จากอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 6,703.39 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15.9%
มูลค่าขายปลีกสินค้าทั้งปี โดยมีมูลค่าขายปลีกธัญพืช/น้ำมัน/อาหาร เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 12.1% ยาสูบ/แอลกอฮอล์ ลดลง 14.1% เสื้อผ้า/รองเท้า/หมวก/สิ่งทอถัก เพิ่มขึ้น 15.2% เครื่องสำอาง 8.9% ของใช้ประจำวัน เพิ่มขึ้น 0.9% หนังสือ/หนังสือพิมพ์/นิตยสาร เพิ่มขึ้น 2.0% เครื่องใช้ในครัวเรือน/เครื่องเสียง ลดลง 4.4% ยาจีน/ยาตะวันตก ลดลง 1.2% อุปกรณ์ทางวัฒนธรรม ลดลง 36.7% อุปกรณ์สื่อสาร เพิ่มขึ้น 30.6% ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 6.1% อุปกรณ์เครื่องกลและไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 11.9% และรถยนต์ ลดลง 0.1% โดยรถยนต์พลังงานใหม่ เพิ่มขึ้น 42.4%
มูลค่าขายปลีกเครือข่ายสาธารณะทั้งปี จำนวน 89.81 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 40.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
2.6 การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 (ไม่รวมเกษตรกร) เพิ่มขึ้น 6.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ 1 ลดลง 2.5% การลงทุนในอุตสาหกรรมที่ 2 เพิ่มขึ้น 53.5% การลงทุนในอุตสาหกรรมที่ 3 เพิ่มขึ้น 1.5% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรภาคเอกชน ลดลง 9.7% เมื่อเทียบกับ ปีก่อน คิดเป็น 37.3% ของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขึ้น 25.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ตารางที่ 4 อัตราการเติบโตของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร พ.ศ.2566
อุตสาหกรรม | อัตราการเติบโต |
รวม | 6.0 |
เกษตรกรรม ป่าไม้ ปศุสัตว์ และการประมง | -16.1 |
อุตสาหกรรมเหมืองแร่ | -31.3 |
อุตสาหกรรมการผลิต | 71.0 |
การผลิตด้านพลังงานไฟฟ้า พลังงานร้อน เชื้อเพลิงและน้ำ | 48.8 |
อุตสาหกรรมด้านค้าส่งและค้าปลีก | -46.7 |
การคมนาคมขนส่ง คลังเก็บสินค้าและไปรษณีย์ | 3.8 |
อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและอาหาร | 136.5 |
การเผยแพร่สารสนเทศ ซอฟต์แวร์และการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ | 40.7 |
อุตสาหกรรมด้านการเงิน | -100.0 |
อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ | -11.6 |
การปล่อยเช่าพื้นที่และการให้บริการด้านการค้า | 139.9 |
อุตสาหกรรมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการให้บริการด้านเทคโนโลยี | 194.7 |
การบริหารจัดการน้ำ สิ่งแวดล้อมและสาธารณูปโภค | 16.5 |
การให้บริการแก่ประชาชนและอุตสาหกรรมการให้บริการอื่น ๆ | -81.3 |
การศึกษา | 192.1 |
กิจกรรมด้านสุขอนามัยและกิจกรรมเพื่อสัมคม | -72.6 |
อุตสาหกรรมด้านวัฒนธรรม กีฬาและสันทนาการ | 300.6 |
การบริหารรัฐกิจ การประกันสังคม และองค์กรทางสังคม | 29.7 |
การลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งปี ลดลง 10.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในการลงทุนที่อยู่อาศัย ลดลง 8.4% การลงทุนอาคารสำนักงาน ลดลง 97.6% และการลงทุนอาคารธุรกิจเชิงพาณิชย์ ลดลง 32.7%
พื้นที่ก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ทั้งปี จำนวน 13.7411 ล้านตารางเมตร ลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน พื้นที่ที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จ จำนวน 2.0157 ล้านตารางเมตร ลดลง 28.8% พื้นที่ขายอาคารพาณิชย์ จำนวน 2.0169 ล้าน ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 34.4% ปริมาณการขายอาคารพาณิชย์ จำนวน 14,683.08 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 50.4%
2.7 การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจต่างประเทศ
รับนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 62.0958 ล้านคน เพิ่มขึ้น 29.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีนักท่องเที่ยวในจีน จำนวน 62.0082 ล้านคน เพิ่มขึ้น 29.7% รายได้จากการท่องเที่ยวรวม จำนวน 97,611.06 ล้านหยวน เมื่อเทียบเคียงกัน เพิ่มขึ้น 60.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวภายในจีน 97,245.75 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 60.2%
การค้านำเข้าและส่งออกรวมทั้งปี จำนวน 54,107.26 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีการนำเข้า จำนวน 27,993.67 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 22.4% การส่งออก จำนวน 26,113.59 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.7% การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศตามจริงทั้งปี 14.42 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 100.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ตารางที่ 5 มูลค่าและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศ พ.ศ. 2566
รายการ | หน่วย | มูลค่า | อัตราการเติบโต % |
1.มูลค่าของเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศ | หมื่นหยวน | 5,495,787 | 13.8 |
2. มูลค่าการค้านำเข้า-ส่งออก | หมื่นหยวน | 5,410,726 | 13.7 |
2.1 การนำเข้า | หมื่นหยวน | 2,799,367 | 22.4 |
2.2 การส่งออก | หมื่นหยวน | 2,611,359 | 5.7 |
3.มูลค่าการค้าชายแดน | หมื่นหยวน | 699,077 | 43.5 |
4.มูลค่าความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี | หมื่นหยวน | 85,061 | 18.6 |
2.8 การคลัง การเงินและประกันภัย
รายได้การคลังรวมในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 6,454.22 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 39.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน รายรับงบประมาณสาธารณะ จำนวน 3,909.16 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 17.3% โดยในรายได้จากภาษี จำนวน 2,788.59 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 71.8% รายได้ที่ไม่ใช่ภาษี จำนวน 1,120.57 ล้านหยวน ลดลง 34.5% รายจ่ายงบประมาณสาธารณะทั้งปี จำนวน 16,063.74 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายจ่ายด้านบริการสาธารณะ จำนวน 1,109.39 ล้านหยวน ลดลง 9.4% รายจ่ายด้านการศึกษา จำนวน 2,747.13 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.0% รายจ่ายด้านวัฒนธรรม/การท่องเที่ยว/การกีฬา/สื่อ จำนวน 169.4 ล้านหยวน ลดลง 19.5% รายจ่ายด้านความปลอดภัยสังคมและการจ้างงาน จำนวน 2,853.01 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 16.7% รายจ่ายด้านการอนุรักษ์พลังงานและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จำนวน 336.74 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 40.7% รายจ่ายด้านสุขภาพ จำนวน 2,729.96 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 27.1%
ในสิ้นปี พ.ศ.2566 ยอดเงินฝากสกุล RMB ของสถาบันการเงิน จำนวน 103,708.98 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีเงินฝากครัวเรือน จำนวน 64,067.21 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.1% เงินฝากขององค์กร (ไม่ใช่สถาบันการเงิน) จำนวน 15,322.47 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21.1% เงินฝากของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ จำนวน 19,794.85 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.2% ยอดเงินกู้สกุล RMB ของสถาบันการเงิน จำนวน 76,153.9 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสินเชื่อครัวเรือน จำนวน 42,508.8 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 14.9% สินเชื่อสถาบัน/วิสาหกิจ จำนวน 33,644.34 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 7.8%
รายได้เบี้ยประกันของบริษัทประกันภัยทั้งปี จำนวน 2,351.15 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้เบี้ยประกันของธุรกิจประกันภัยทรัพย์สิน จำนวน 870.01 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10.5% ส่วนรายได้เบี้ยประกันของธุรกิจประกันภัยส่วนบุคคล จำนวน 1,481.14 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 2.3% จ่ายค่าตอบแทนและผลประโยชน์ทุกประเภท จำนวน 1,086.55 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ของธุรกิจประกันภัยทรัพย์สิน จำนวน 438.68 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32.0% ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ของธุรกิจประกันภัยส่วนบุคคล จำนวน 647.87 ล้านหยวน ลดลง 3.3%
2.9 รายได้การบริโภคและประกันสังคมของประชากร
รายได้ต่อหัวของประชากรในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 28,218 หยวน เพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งตามที่อยู่อาศัยแบบถาวร รายได้ต่อหัวของประชากรในเมือง จำนวน 39,274 หยวน เพิ่มขึ้น 3.9% รายได้ต่อหัวของประชากรในชนบท จำนวน 19,741 หยวน เพิ่มขึ้น 8.0% รายจ่ายการบริโภค ต่อหัวของประชากรทั้งหมด จำนวน 23,484 หยวน เพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งตามที่อยู่อาศัยแบบถาวร รายจ่ายการบริโภคต่อหัวของประชากรในเมือง จำนวน 27,084 หยวน เพิ่มขึ้น 9.1% รายจ่ายการบริโภคต่อหัวของประชากรในชนบท จำนวน 20,724 หยวน เพิ่มขึ้น 16.4% ค่าสัมประสิทธิ์ Engel ของประชากรทั้งหมดเป็น 29.1% แบ่งเป็นเขตเมือง 29.2% และพื้นที่ชนบท 29.1%
ในสิ้นปี พ.ศ.2566 ผู้เข้าร่วมประกันการว่างงานในเขตเมืองทั้งเขตปกครอง จำนวน 93,600 ราย เพิ่มขึ้น 3,800 คน เมื่อเทียบกับปีก่อน ผู้เข้าร่วมประกันบำนาญขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานในเขตเมือง จำนวน 241,900 คน เพิ่มขึ้น 13,100 คน โดยมีพนักงานที่มีประกัน จำนวน 165,600 คน ผู้เกษียณอายุที่มีประกัน จำนวน 76,300 คน ผู้เข้าร่วมประกันบำนาญขั้นพื้นฐานสำหรับประชากรอาศัยในเขตเมืองและในชนบท จำนวน 488,900 คน ผู้เข้าร่วมประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานในเขตเมือง จำนวน 201,500 คน เพิ่มขึ้น 2,100 คน โดยมีพนักงานที่มีประกัน 125,700 คน และผู้เกษียณอายุที่มีประกัน จำนวน 75,800 คน ผู้เข้าร่วมประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานสำหรับประชากรอาศัยในเขตเมืองและชนบท จำนวน 821,300 คน ในช่วงสิ้นปีประชากรที่มีความมั่นคงในการดำรงชีวิตขั้นต่ำสำหรับประชากรในเขตเมือง จำนวน 6,000 คน ในชนบท จำนวน 16,800 คน
2.10 เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์และการศึกษา
รายจ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 49.32 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงระดับชาติ 8 แห่ง บริษัทเข้าร่วมการแข่งขันนวัตกรรมระดับมณฑล 38 บริษัท บริษัทที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ 7 แห่ง โดยในสิ้นปีมีสิทธิบัตร จำนวน 343 ฉบับ สิทธิบัตรการประดิษฐ์ต่อ 10,000 คน จำนวน 2.57 ฉบับ ลงทะเบียนสัญญาเทคโนโลยีทั้งปี จำนวน 95 ฉบับ โดยมีมูลค่าธุรกรรม จำนวน 1,146 ล้านหยวน
การรับสมัครเรียนในระดับปริญญาตรีและวิทยาลัย ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 4,625 คน (อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 12,212 คน สำเร็จการศึกษา จำนวน 3,333 คน) อาชีวศึกษาทั่วไป จำนวน 1,187 คน (อยู่ระหว่างการศึกษา 3,447 คน สำเร็จการศึกษา 1,391 คน) อาชีวศึกษาสายอาชีพ จำนวน 1,469 คน (อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 4,562 คน สำเร็จการศึกษา จำนวน 1,760 คน) มัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 7,763 คน (อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 20,919 คน สำเร็จการศึกษา จำนวน 6,379 คน) มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 14,706 คน ( อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 44,685 คน สำเร็จการศึกษา จำนวน 14,263 คน) ประถมศึกษา จำนวน 18,929 คน (อยู่ระหว่างการศึกษา จำนวน 98,105 คน สำเร็จการศึกษา จำนวน 15,001 คน) การศึกษาก่อนวัย (อนุบาล) จำนวน 37,526 คน อัตราของมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าศึกษามหาวิทยาลัย 93.21% และอัตรารวมของการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี 97.24%
2.11 วัฒนธรรม สุขภาพ และการกีฬา
ระบบวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 มีกลุ่มศิลปะการแสดง 4 กลุ่ม ห้องสมุดสาธารณะ 4 แห่ง ศูนย์วัฒนธรรม 4 แห่ง พิพิธภัณฑ์ 3 แห่ง และสถานวัฒนธรรม 36 แห่ง โดยมีกลุ่มศิลปะจัดการแสดงในประเทศ จำนวน 423 ครั้ง มีผู้ชมในประเทศ จำนวน 485,100 คน ห้องสมุดสาธารณะ จำนวน 263,500 เล่ม ในสิ้นปีการกระจายวิทยุครอบคลุมประชากร 99.57% และโทรทัศน์ครอบคลุมประชากร 99.57%
ในสิ้นปีมีสถาบันทางการแพทย์และสุขภาพ จำนวน 807 แห่ง โดยมีโรงพยาบาล จำนวน 46 แห่ง (โรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 32 แห่ง โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน จำนวน 7 แห่ง) สถาบันการแพทย์และสุขภาพขั้นพื้นฐาน จำนวน 747 แห่ง (ศูนย์บริการสุขภาพชุมชน จำนวน 9 แห่ง ศูนย์สุขภาพ จำนวน 34 แห่ง คลินิก ห้องพยาบาล จำนวน 433 แห่ง คลินิกหมู่บ้าน จำนวน 248 แห่ง สถาบันสาธารณสุขวิชาชีพ จำนวน 13 แห่ง (ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค จำนวน 4 แห่ง ศูนย์กำกับดูแลสุขภาพ จำนวน 4 แห่ง ผู้ปฏิบัติด้านสาธารณสุข จำนวน 12,114 คน (แพทย์ฝึกหัดและผู้ช่วยแพทย์ฝึกหัด จำนวน 3,868 คน พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 5,815 คน สถาบันการแพทย์และสุขภาพ จำนวน 9,041 เตียง (โรงพยาบาล จำนวน 7,144 แห่ง ศูนย์สุขภาพ จำนวน 1,619 แห่ง)
ในปี พ.ศ.2566 เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ระดับมณฑลคว้า 5 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน 10 เหรียญทองแดง
2.12 การจัดการทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และเหตุฉุกเฉิน
อุปทานรวมที่ดินก่อสร้างของรัฐในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ในปี พ.ศ.2566 จำนวน 756 เฮกตาร์ เพิ่มขึ้น 51.9% จากปีที่แล้ว มีการใช้พื้นที่จัดเก็บอุตสาหกรรมเหมืองแร่ จำนวน 39 เฮกตาร์ ลดลง 75.6% พื้นที่อสังหาริมทรัพย์ จำนวน 76 เฮกตาร์ ลดลง 58.0% และใช้พื้นที่โครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 589 เฮกตาร์ เพิ่มขึ้น 217.9%
ปริมาณการใช้น้ำรวม จำนวน 566 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพิ่มขึ้น 5.3% น้ำเพื่ออุตสาหกรรม ลดลง 30.1% น้ำเพื่อการเกษตร ลดลง 1.4% และน้ำเพื่อสภาพแวดล้อมทางนิเวศ เพิ่มขึ้น 59.8%
พื้นที่การปลูกป่า จำนวน 1,199 เฮกตาร์ พื้นที่การบำรุงป่า จำนวน 333 เฮกตาร์
ปริมาณการใช้พลังงานรวม 2.2078 ล้านตันของถ่านหินมาตรฐาน) เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบจากปีก่อน การใช้พลังงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จำนวน 447,700 ตันของถ่านหินมาตรฐาน เพิ่มขึ้น 8.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมีการใช้ถ่านหินดิบ จำนวน 173,600 ตัน เพิ่มขึ้น 21.3% การใช้ไฟฟ้า จำนวน 777 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 8.2% มูลค่าเพิ่มของการใช้พลังงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้น 27.5%
ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุต่างๆ รวม 39 ราย ลดลง 17.0% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง 11 ราย เพิ่มขึ้น 10.0% ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนน 22 ราย ลดลง 37.1%
- ด่านการค้าระหว่างประเทศของเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
ปัจจุบันเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย ด่านทางบกโม่ฮาน ด่านทางบกต่าลั่ว ด่านทางบกเหมิงหม่าน ด่านรถไฟโม่ฮาน ด่านท่าเรือกวนเหล่ย ด่านท่าเรือจิ่งหง และด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนา โดยด่านการค้าสำคัญระหว่างจีน-ไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีรายละเอียดดังนี้
3.1 ด่านทางบกโม่ฮาน (Mohan Land Port)
ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านทางบกโม่ฮานเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ เป็นด่านเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว ตั้งอยู่ที่อำเภอเหมิงล่า เขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน โดยหน่วยงาน Mohan Golden Peacock Transportation Co., Ltd. (磨憨金孔雀交通运输有限责任公司) เลขรหัสศุลกากร CNMHN860136 ซึ่งด่านทางบกโม่ฮานมีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเป็นอย่างมาก โดยทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ มีความยาวมากกว่า 1,800 กิโลเมตร (ด่านโม่ฮานถึงด่านเชียงของเพียง 228 กิโลเมตร ใช้เวลา 3-5 ชั่วโมง (รถเล็ก) และใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง (รถใหญ่) ทั้งนี้ เส้นทางการขนส่งดังกล่าว เป็นเส้นทางการขนส่งทางบกที่ผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้าสินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีจุดหมายมายังมณฑลยูนนานนิยมใช้ เนื่องจากมีเส้นทางที่ใกล้และใช้เวลาในการขนส่งไม่นาน
ปัจจุบันด่านทางบกโม่ฮาน เดิมมีช่องทางเดินรถขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกจีนในจุดเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหารถติดหนาแน่นบริเวณหน้าด่าน แต่ปัจจุบันทางการจีนมีการเปิดใช้ช่องทางใหม่เพิ่ม โดยกำหนดให้รถขาเข้าจีนเข้าในช่องทางเดิม และออกจากจีนในช่องทางใหม่ ในลักษณะของการเดินรถทางเดียว )One Way) ซึ่งสามารถช่วยระบายรถสินค้าผลไม้ไทยเข้าจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ด่านอยู่ระหว่างการก่อสร้างขยายช่องทางขนส่งสินค้าขาเข้า-ขาออกจีน จากเดิม 4 ช่องทาง เป็น 12 ช่องทาง ณ จุดทางเดิม คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดใช้งานภายในปี พ.ศ.2567
3.2 ด่านรถไฟโม่ฮาน (Mohan Railway Port)
เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2564 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านรถไฟโม่ฮานเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอเหมิงล่า เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน โดยหน่วยงาน Southern Yunnan Railway Co., Ltd. (滇南铁路有限责任公司) เลขรหัสศุลกากร CNMHN860195 ตั้งของด่านเป็นจุดผ่านแดนหลักระหว่างเส้นทางรถไฟจีน-ลาว โดยด่านโม่ฮานเชื่อมต่อกับ ด่านบ่อเต็นของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญมากในการขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เส้นทางรถไฟจีน-ลาว เป็นโครงการที่ร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาวและรัฐบาลจีน โดยเริ่มเปิดเดินรถอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมโยงด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว โดยมีภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจการขนส่ง การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน จะได้ประโยชน์จากเส้นทางดังกล่าว ประกอบกับเส้นทางรถไฟนี้ ยังสามารถส่งเสริมนโยบายที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของโลกด้วย ปัจจุบันเส้นทางดังกล่าวมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 1,022 กิโลเมตร ใช้ความเร็วในการเดินรถ ตั้งแต่ 120 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยมีการแบ่งสถานีเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สถานีสำหรับขนส่งผู้โดยสาร สถานีสำหรับขนส่งสินค้า และสถานีขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้า โดยเส้นทางรถไฟจีน-ลาวมีขบวนขนส่งสินค้าเข้า-ออก รวมทั้งสิ้น 16 ขบวนต่อวัน (ขาเข้าและขาออก อย่างละ 8 ขบวน) มีการเปิดใช้ลานตรวจจำเพาะสินค้าผลไม้ ธัญพืช และสัตว์น้ำแช่เย็น รวมทั้งสิ้น 26 ช่อง แบ่งเป็นช่องตรวจจำเพาะสินค้าผลไม้ 15 ช่อง ธัญพืช 7 ช่อง และสัตว์น้ำแช่เย็น 4 ช่อง
ความสำคัญของด่านรถไฟโม่ฮาน 1) เชื่อมโยงการค้าและการขนส่ง เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ที่ผ่านด่านโม่ฮาน เป็นเส้นทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังลาวและไทย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สินค้าที่สำคัญ เช่น ผลไม้จากไทย อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตรอื่น ๆ สามารถขนส่งได้อย่างรวดเร็วและต้นทุนต่ำลง 2) เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างประเทศ ด่านโม่ฮานทำให้การเดินทางระหว่างจีน ลาว และไทยสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในสิบสองปันนาและในเมืองที่เชื่อมต่อกับเส้นทางนี้
โครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาด่านรถไฟโม่ฮานได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพรองรับการขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสารจำนวนมาก โดยโครงการรถไฟจีน-ลาว ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและเชื่อมโยง ความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาค ทั้งนี้ ช่วยให้การขนส่งสินค้าระหว่างจีนและประเทศในภูมิภาคเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.3 ด่านท่าเรือกวนเหล่ย (Guanlei Water Port)
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2563 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็นด่านระดับประเทศที่ เปิดให้บริการระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอเหมิงล่า เขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน โดยมี Mengla Xinfengyuan Trading Co., Ltd. (勐腊新沣源商贸有限公司) เป็นผู้บริหารอาคารสำนักงานแลอาคารตรวจสอบและพักสินค้าระบบเย็น (Cold Chain Inspection and Storage Facilities) เลขรหัสศุลกากร CNJHG860129 เป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าทางน้ำ (แม่น้ำโขง) ที่สำคัญระหว่างไทยกับยูนนาน ล่องเรือตามแม่น้ำโขง (จีนเรียกว่า “แม่น้ำหลานชาง”) ระยะทางระหว่างเมืองจิ่งหงถึงอำเภอเชียงแสนประมาณ 344 กิโลเมตร การขนส่งจากท่าเรือกวนเหล่ยไปยังท่าเรือเชียงแสนจะเป็นการเดินเรือตามน้ำใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน ส่วนการขนส่งจากท่าเรือเชียงแสนไปยังท่าเรือกวนเหล่ยเป็นการเดินเรือทวนน้ำใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน เพื่อความปลอดภัยจะไม่มีการเดินเรือในช่วงกลางคืน โดยในช่วงที่น้ำน้อยอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม – พฤษภาคม รองรับการเดินเรืออยู่ระวาง 100-200 ตัน ในช่วงอื่นที่น้ำหลากจะสามารถเดินเรือระวางมากกว่า 300 ตัน
ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2567 สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศรายชื่อสถานที่ตรวจกักกันจำเพาะสำหรับการนำเข้าผลไม้ฉบับล่าสุด โดยเพิ่มสถานที่ตรวจกักกันจำเพาะสำหรับการนำเข้าผลไม้ของด่านท่าเรือกวนเหล่ย ส่งผลให้ด่านท่าเรือกวนเหล่ยมีสถานะเป็น “ด่านจำเพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้ (designated port for imported fruits)” อย่างเป็นทางการ โดยลานตรวจจำเพาะผลไม้ของท่าเรือกวนเหล่ย มีพื้นที่รวมทั้งหมด 2,463.53 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่ตรวจผลไม้ 2,377.51 ตารางเมตร ได้แก่ ช่องตรวจผลไม้นำเข้า จำนวน 8 ช่อง ห้องเก็บผลไม้เน่าเสีย ห้องเย็นควบคุมและตรวจสอบผลไม้ ห้องเย็นพักตู้ผลไม้ชั่วคราวที่ไม่ได้ผ่านการตรวจปล่อย ห้องเย็นเตรียมการและห้องเทคนิค และพื้นที่ดำเนินการอื่นๆ 86.02 ตารางเมตร โดยมีอุปกรณ์รมควันที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ในกระบวนการตรวจสอบและควบคุมบริการจัดการผลไม้ ทำให้ท่าเรือกวนเหล่ยสามารถตรวจสอบผลไม้นำเข้าได้อย่างครบวงจร
สถานที่ควบคุมตรวจสอบจำเพาะผลไม้นำเข้าของด่านท่าเรือกวนเหล่ย
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ของ GACC ได้กำหนดไว้ว่า หากด่านจำเพาะไม่มีการนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปี อาจถูกยกเลิกสถานะด่านจำเพาะ รวมทั้งยังส่งผลต่อการขออนุมัติด่านจำเพาะสำหรับสินค้าประเภทดังกล่าวเพิ่มเติมในอนาคตด้วย
การเปิดนำเข้าผลไม้ผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ยจะเป็นหนึ่งในช่องทางการขนส่งผลไม้เส้นทางใหม่ของไทยที่มีความสะดวกและรวดเร็วในการขนส่ง อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นการขนส่งทางแม่น้ำโขงที่ยังมีปัญหาเรื่องเกาะแก่งในลำน้ำและระดับน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้จึงควรศึกษาข้อมูล และต้นทุนในการขนส่งจากผู้ให้บริการขนส่งทางเรือในแม่น้ำโขง เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกเส้นทางขนส่ง ผลไม้จากไทยไปจีน
3.4 ด่านการค้าระหว่างประเทศอื่นๆ
ด่านทางบกเหมิงหม่าน (Meng Man Land Port)
เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2567 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านทางบกเหมิงหม่านเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่อำเภอเหมิงล่า เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เป็นเส้นทางสำคัญจากประเทศจีนไปยังประเทศลาวและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสิงห์ (สปป.ลาว) ประมาณ 13 กิโลเมตร ห่างจากท่าเรือบั๊คเชียงของ (สปป.ลาว) 90 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือเชียงแสน (ประเทศไทย) ประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเส้นทางทิศตะวันออกผ่านแขวงอุดมไซ (สปป.ลาว) ไปยังเมืองเดียนเบียนฟู (เวียดนาม) เส้นทางทิศใต้ผ่านแขวงหลวงน้ำทา (สปป.ลาว) เชื่อมต่อกับเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ และเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway) เส้นทางทิศตะวันตก จากเมืองสิงห์ (สปป.ลาว) และสะพานมิตรภาพลาว-เมียนมาร์ เชื่อมต่อกับเขตพื้นที่ท่าขี้เหล็ก (เมียนมาร์) โดยท่าขี้เหล็กสามารถเข้าสู่ปากแม่น้ำมหาสมุทรอินเดียได้โดยตรง
ด่านทางบกเหมิงหม่านเปิดให้บริการใช้งานระหว่างประเทศ สำรวจความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-ลาวรูปแบบใหม่ ส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างจีน-ลาว ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค รักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของชายแดน บรรลุความเชื่อมโยงระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนแบบบูรณาการ และสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันกับประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ ต่างมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในปัจจุบัน โคมีชีวิตของ สปป.ลาว นำเข้าจีนผ่านด่านทางบกเหมิงหม่าน โดยรัฐบาลกลางปักกิ่งได้มีการทำข้อตกลงในพิธีสารว่าด้วยการนำเข้าโคเนื้อมีชีวิตผ่านโรงกักกันและโรงขุนโคระหว่างจีน-ลาว ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2562 ทำให้การส่งโคเนื้อของไทยมายังตลาดจีนต้องผ่านบริษัทใน สปป.ลาว เนื่องจากไทยยังไม่สามารถนำเข้าประเทศจีนได้ เพราะไทยยังมีการแพร่ระบาดของโรคปากเท้าเปื่อย (FMD) และยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า โคมีชีวิตของไทยปลอดจากโรคปากเท้าเปื่อย โดย สปป.ลาว จะนำโคเนื้อจากไทยไปเลี้ยงต่อ 45 วันที่คอกโคขุน เพื่อเตรียมน้ำหนักของโคเนื้อ จากนั้นเข้าคอกกักกันโรคอีก 30 วัน รวม 75 วัน จึงจะสามารถส่งข้ามไปยังประเทศจีนได้ ทั้งนี้ รัฐบาล สปป.ลาว ได้รับโควตาการส่งออกโคและกระบือจากรัฐบาลจีนจำนวน 500,000 ตัวต่อปี
ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคปากเท้าเปื่อยในโค ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จีนยังไม่อนุญาตให้นำเข้าโคมีชีวิตจากไทย และจะต้องมีการเน้นย้ำให้มีมาตรการในการตรวจโรคและเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับฝ่ายจีนว่า แนวทางและมาตรฐานการป้องกันโรคระบาดของไทยเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล อีกทั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเตรียมความพร้อมของเกษตรกร สร้างการรับรู้ที่ดี ปรับปรุงระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการนำเข้าโคเนื้อจากต่างประเทศและให้เป็นที่ยอมรับของตลาดจีน เช่น การไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง โคลูกผสมยุโรปชาร์โรเล่ ซิมเมนทัล หรือโคพื้นเมืองน้ำหนัก 300 – 500 กิโลกรัม และมีเอกสารผ่านการทดสอบปลอดสารเร่งเนื้อแดง
ด่านทางบกต่าลั่ว (Da Luo Land Port)
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านทางบกต่าลั่วเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ โดยหน่วยงาน Menghai County Urban and Rural Construction Investment and Development Co., Ltd (勐海县城乡建设投资开发有限公司) เลขรหัสศุลกากร CNDLO860182 ตั้งอยู่ที่ตำบลต่าลั่ว อำเภอเหมิงไฮ่ เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ติดกับประเทศพม่า โดยห่างจากเมืองจิ่งต้งของประเทศพม่า ประมาณ 80 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ประมาณ 239 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดเชียงใหม่ 550 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ 1,250 กิโลเมตร ซึ่งเป็นด่านการค้าชายแดนที่สำคัญของมณฑลยูนนาน หลังจากได้รับการจัดตั้งเป็นด่านระดับมณฑลในปี พ.ศ.2534 การก่อสร้างด่านได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมณฑลและเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา โดยโครงสร้างพื้นฐานมีเป้าหมายที่จะสร้างเมืองด่านชายแดนที่มีการจัดวาง อย่างเหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงการรวมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติท้องถิ่น
ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2567 จำนวนการเข้าและออกจากด่านต่าลั่วเกินกว่า 812,800 คน เพิ่มขึ้น 3.4 เท่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยสินค้าที่นำเข้าหลักๆจะเป็นสินค้าของเมียนมาร์ ประกอบด้วย สินค้าเกษตร (ข้าว ผลไม้ (แตงโม) พริกแห้ง เครื่องปรุงรส) สินค้าแร่ธาตุ (ถ่านหิน) เป็นต้น สินค้าส่งออก ประกอบด้วย รถยนต์พลังงานใหม่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันจีนมีการนำเข้าสินค้าไทยผ่านด่านทางบกต่าลั่วด้วยการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน แต่ปริมาณค่อนข้างน้อย ได้แก่ สินค้าแชมพู แต่การค้าทั่วไปยังไม่มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย ทั้งนี้ สินค้าไทยที่ตรงตามข้อกำหนดสามารถนำเข้าตามการค้าทั่วไปได้ แต่สินค้าผลไม้ยังไม่สามารถนำเข้าจีนผ่านด่านนี้ได้ เนื่องจากด่านต่าลั่วยังไม่ได้อยู่ในรายชื่อด่านประเทศที่สามสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ทางบกของประเทศไทย
ทั้งนี้ ด่านทางบกต่าลั่วเพื่อเตรียมการรับมือกับจำนวนผู้โดยสารที่มีปริมาณสูงสุด จุดตรวจผ่านชายแดนเข้า-ออกด่านจะปรับลดขั้นตอน ลดระยะเวลา เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการพิธีการศุลกากร และรับประกัน พิธีการศุลกากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า-ขาออกมีความราบรื่น
ด่านท่าเรือจิ่งหง (Jinghong Water Port)
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2536 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านท่าเรือจิงหงเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองจิ่งหง เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เป็นหนึ่งใน จุดขนส่งที่สำคัญในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา เมืองจิ่งหง (Jinghong) ตั้งอยู่ห่างจากจุดเชื่อมต่อระหว่างจีน ลาว และเมียนมาร์ ประมาณ 101 กิโลเมตร ห่างจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำจุดเชื่อมต่อประเทศลาว เมียนมาร์ และไทย ประมาณ 334.6 กิโลเมตร ห่างจากห้วยทราย (เชียงของประเทศไทย) ประมาณ 402.1 กิโลเมตร และห่างจากหลวงพระบาง ประมาณ 701.6 กิโลเมตร
จากท่าเรือจิ่งหงถึงท่าเรือเชียงแสน ระยะทาง 345 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินเรือโดยสาร 9 ชั่วโมง เดินเรือสินค้า 36 ชั่วโมง ท่าเรือแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีหน่วยงานตรวจสอบและบริการแบบครบวงจร เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักธุรกิจในและต่างประเทศในการดำเนินการขนส่งทางน้ำในเส้นทางน้ำระหว่างประเทศของลุ่มน้ำล้านช้าง-แม่โขง ตามแผนพัฒนาของคณะกรรมการเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา รูปแบบการออกแบบของท่าเรือ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือโดยสาร 1 แห่ง และท่าเทียบเรือขนส่งสินค้า 1 แห่ง โดยมีแผนปีระยะสั้นคือปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร 100,000 ตัน จำนวน 400,000 คน แผนปีระยะยาวคือขยายการขนส่งผู้โดยสารเป็น 400,000 ตัน จำนวน 1.5 ล้านคน โดยเป็นท่าเรือครบวงจรเน้นการขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก ปัจจุบันไม่มีการขนส่งสินค้า
ท่าเรือครอบคลุมพื้นที่ 165 mu (68.75 ไร่) รูปแบบการออกแบบเป็นท่าเทียบเรือไฮดรอลิกด้วยการแบ่งตามการใช้งาน ซึ่งมีถนนสองสายเชื่อมกับท่าเทียบเรือ และจุดขนถ่ายสินค้า 2 แห่ง สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย ลานขนส่งสินค้า โกดัง ถนนในเขตท่าเรือ อาคารตรวจ อาคารผู้โดยสารรวม เป็นต้น นอกจากนี้ มีการระบายน้ำ ไฟฟ้า สภาพแวดล้อมสีเขียว และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการพักผ่อน เช่น สโมสรกะลาสี ห้างสรรพสินค้า สถานที่พัก และสนามเทนนิส โดยอาคารผู้โดยสารท่าเรือจิ่งหงมีเป้าหมายการสร้างให้เป็นศูนย์กลางการขนส่ง การค้า การพาณิชย์ การท่องเที่ยว ความบันเทิง และการพักผ่อน
ด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนา (Xishuangbanna Airport)
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2538 สภาแห่งรัฐได้รับการอนุมัติให้ด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนาเป็นด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองจิงหง เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน
ด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนา เป็นท่าอากาศยานสำคัญในเขตสิบสองปันนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรองรับการเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ลาว และเมียนมา
บทบาทสำคัญของด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนา 1) ศูนย์กลางการเดินทาง ท่าอากาศยานสิบสองปันนาเป็นจุดขนส่งทางอากาศที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางทางธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงสิบสองปันนา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเรื่องของธรรมชาติ วัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และมีการเชื่อมต่อเที่ยวบินตรงระหว่างเมืองจิ่งหงกับเมืองหลักในจีน เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง รวมถึงเมืองในต่างประเทศ โดยเฉพาะเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เชียงใหม่ และเวียงจันทน์ 2) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนาช่วยส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน รวมถึงการขนส่งทางอากาศสำหรับการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างจีนและประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังสนับสนุนการลงทุนทางเศรษฐกิจในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการค้าและการลงทุนที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนเพื่อขยายการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน มีบทบาทในการส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ
- โอกาสในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
4.1 ด้านการขนส่ง
เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนามีด่านระดับประเทศที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย ด่านทางบกโม่ฮาน ด่านทางบกต่าลั่ว ด่านทางบกเหมิงหม่าน ด่านรถไฟโม่ฮาน ด่านท่าเรือกวนเหล่ย ด่านท่าเรือจิ่งหง และด่านท่าอากาศยานสิบสองปันนา โดยมีโอกาสด้านการขนส่งที่สำคัญ ดังนี้ 1) ด่านทางเลือก เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาเสมือนประตูแดนมังกรทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีด่านการขนส่งที่มีความหลากหลายครอบคลุมทั้งการขนส่งทางเรือ ทางบก ทางราง และทางอากาศ ซึ่งมีระยะทางการขนส่งที่สั้นลง นับว่ามีช่องทางการขนส่งและด่านทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการไทยขนส่งสินค้านำเข้า-ส่งออกระหว่างไทยและจีน นอกเหนือจากการขนส่งทางทะเล 2) ขนส่งสะดวก ที่ตั้งเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาอยู่ไม่ไกลจากจังหวัดเชียงราย โดยมีเส้นทางบกถนนหลวง R3A และเส้นทางรถไฟลาว-จีน โดยปัจจุบันใช้เวลาขนส่งสินค้าไทย (Non-Cold Chain) ไปยังนครคุนหมิงประมาณ 3 วัน ระยะเวลาการขนส่งสั้นลงเมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งผ่านเข้าเมืองกวางโจว เมื่อระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง หากเป็นสินค้าของสดจะยังคงมีสภาพสดและคุณภาพดี 3) ต้นทุนต่ำ ด่านรถไฟโม่ฮานเป็นอีกหนึ่งช่องทางการขนส่งสินค้าที่สำคัญในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา และสามารถสร้างประโยชน์ด้วยการลดต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เช่น ผลไม้สด ผักสด และดอกไม้ ซึ่งเป็นสินค้าที่เน่าเสียง่ายและต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง และไทยได้รับประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำจากจีนสำหรับการผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามได้
นอกจากนี้ เนื่องจากจีนมีระบบรางเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งรถไฟลาว-จีน จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์ของไทย-ลาว-จีน และจะเพิ่มโอกาสในการขนส่งและกระจายสินค้าไทยไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศจีนและของโลก เช่น ยุโรป เป็นต้น
เส้นทางการขนส่งสินค้าไปยังยุโรป
เส้นทางขนส่งทางรถไฟจากจีนไปยุโรปมี 3 เส้นทาง
ที่มา : ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว
1) เส้นทางสายตะวันตก ออกจากจีนที่ด่านอาลาซาน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ผ่านคาซัคสถาน รัสเซีย เบลารุส โปแลนด์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังแต่ละประเทศเป้าหมายในยุโรป
2) เส้นทางสายกลาง ออกจากจีนที่ด่านเอ้อเหลียนห้าเท่อ เขตปกครองตนเองมองโกเลียในผ่านมองโกเลียรัสเซีย เบลาลุส โปแลนด์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังแต่ละประเทศเป้าหมายในยุโรป
3) เส้นทางสายตะวันออก ออกจากจีนที่ด่านหม่านโจวหลี่ เขตปกครองตนเองมองโกเลียในผ่านรัสเซีย เบลาลุส โปแลนด์ (ตั้งแต่ช่วง lrkutsk ของรัสเซียเหมือนเส้นทางตะวันตก)
การขนส่งสินค้าโดยทางรถไฟจีน-ลาว ไปยังพื้นที่ในยุโรป มี 4 สถานีหลัก ได้แก่ (1) สถานีลอดซ์ประเทศโปแลนด์ (2) สถานีดุยส์บูร์กและนูเรมเบิร์กประเทศเยอรมนี (3) สถานีทิลเบิร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ (4) สถานีนอร์ซิโน ประเทศรัสเซีย โดยมีระยะเวลาในการขนส่งจากคุนหมิงไปยังประเทศแถบยุโรปประมาณ 26-30 วัน โดยใช้ความเร็วของรถไฟที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
4.2 ด้านการค้า
ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 สำนักงานกลุ่มความร่วมมือเศรษฐกิจอนุภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง มณฑลยูนนานรายงานว่า สินค้าสะสมที่ส่งโดยรถไฟจีน-ลาว เกิน 40 ล้านตัน ถือเป็นโอกาสที่สำคัญในเขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนาในการขยายการค้าระหว่างไทยกับจีน เนื่องจากสิบสองปันนาเป็นประตูสู่ตลาดจีนทางตะวันตกเฉียงใต้ และเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย ลาว และพม่า โดยโอกาสทางการค้าของไทย ที่สำคัญ ได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร 2) สินค้าอุปโภคบริโภค 3) การท่องเที่ยวและการบริการ 4) การลงทุน ด้านการขนส่ง 5) จุดกระจายสินค้า เป็นต้น โอกาสทางการค้าจะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถขยายตลาดในจีนได้มากขึ้น
4.3 ด้านการท่องเที่ยว
โอกาสด้านการท่องเที่ยวในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนามีศักยภาพสูง เนื่องจากภูมิภาคนี้มีเอกลักษณ์ทั้งด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีปัจจัยหลายประการในการส่งเสริมโอกาสการเติบโตของการท่องเที่ยว ดังนี้ 1) ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ สิบสองปันนาเป็นที่รู้จักในฐานะพื้นที่ที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีป่าเขตร้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหายาก เช่น ช้างป่าและนกหายากต่างๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนสิบสองปันนาและป่าไผ่เมืองหม่านเฟย ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการผจญภัย 2) วัฒนธรรมชาติพันธุ์และเทศกาล สิบสองปันนาเป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวไทลื้อ (Dai) ซึ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีที่ใกล้ชิดกับทางภาคเหนือของไทย วัฒนธรรมของไทลื้อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ประเพณีสงกรานต์ (Water Splashing Festival) ที่มีความคล้ายคลึงกับไทย จึงสร้างความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่อยากสัมผัสวัฒนธรรมที่มีความใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมหมู่บ้านชนเผ่าดั้งเดิมเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวไทลื้อและชนเผ่าอื่นๆ 3) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยความเป็นที่นิยมของการแพทย์แผนจีน และความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกับการนวดแผนไทย สิบสองปันนามีศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) โดยเฉพาะสปาและการนวดแผนโบราณ ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่มองหาการพักผ่อนและการฟื้นฟูสุขภาพ ทำให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในสิบสองปันนาเป็นโอกาสที่น่าสนใจ สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจขยายตลาด 4) โอกาสใน Cross-border Tourism สิบสองปันนาเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางท่องเที่ยวข้ามพรมแดนที่เชื่อมโยงกับไทย ลาว และเมียนมา นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยทางบกจากไทย เข้าสู่สิบสองปันนา ผ่านเส้นทางสำคัญ เช่น ด่านทางบกต่าลั่วและเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางและสร้างโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวข้ามชาติ
สิบสองปันนามีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย นอกจากนี้ ความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์กับไทยยังเป็นปัจจัยที่ทำให้สิบสองปันนาเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4.4 ด้านการลงทุน / ธุรกิจบริการ
ธุรกิจร้านอาหารไทย
เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก วัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรมการรับประทาน ความคุ้นเคยด้านอาหารของชาวสิบสองปันนาก็มีความใกล้เคียงกับไทย อาหารของชนชาติไทในสิบสองปันนา มีรสชาติใกล้เคียงอาหารไทย มีรสนิยมในการบริโภคอาหารที่มีรสชาติจัด นอกจากนี้ ช่องทาง การคมนาคมมีความหลากหลาย รถไฟลาว-จีน สายการบินตรงสิบสองปันนา-เชียงใหม่ การเดินทางไปท่องเที่ยว ประเทศไทยของชาวจีนสิบสองปันนามีความสะดวกมากขึ้น ทำให้กระชับความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมทุกมิติ ชาวจีน มีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารไทยและเกิดความชื่นชอบ เมื่อกลับมายังสิบสองปันนาก็เสาะหาอาหารไทยรับประทาน จึงเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจร้านอาหารไทยที่จะเข้ามาลงทุนในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา
ปัจจุบันร้านอาหารไทยที่ได้รับตรา Thai SELECT ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ดังนี้
- ร้าน THAI BANNA DESIGNER THAI RESTAURANT ประเภทของตรา Thai SELCET Signature
- ร้าน TAI FEI ประเภทของตรา Thai SELCET Signature
- ร้าน THAI BANNA ประเภทของตรา Thai SELCET Classic
- ร้าน JINGHONG AISHAWAN FOOD BEVERAGE SERVICE BAR ประเภทของตรา Thai SELCET Classic
- ร้าน Tianshu White House Rainforest Restaurant ประเภทของตรา Thai SELCET Classic
- ร้าน Mekong White House River View Restaurant ประเภทของตรา Thai SELCET Classic
นอกจากนี้ ร้านอาหารที่ได้รับตรา Thai SELECT ยังมีร้านอาหารไทยอื่นในสิบสองปันนาจำนวนไม่น้อย
ธุรกิจส่งออกผลไม้ไทย
ปัจจุบันชาวจีนชื่นชอบผลไม้ไทยมากขึ้น อาทิ ทุเรียน มังคุด ลำไย ส้มโอ และกล้วยไข่ เนื่องจากมีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แม้ว่าผลไม้จากไทยจะมีราคาค่อนข้างแพง แต่ชาวจีนมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น จึงยินดีจ่ายเพื่อสินค้าใหม่ๆ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้ง ความสะดวกในการหาซื้อผลไม้ไทยก็มีมากขึ้น เพราะเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน มีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจังหวัดเชียงราย โดยมีเส้นทางถนนหลวง R3A และเส้นทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งการใช้เส้นทางนี้เพื่อการขนส่งผลไม้ไทยมายังจีนจะใช้ระยะเวลาการขนส่งที่สั้นลงเมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งผ่านเข้าเมืองกวางโจว เมื่อระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง ผลไม้ไทยจึงยังคงสภาพที่สดและคุณภาพดี
โอกาสธุรกิจการส่งออกผลไม้ไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากความต้องการผลไม้ไทยในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผลไม้ที่มีชื่อเสียงของไทย ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าว และมะม่วง โดยมีปัจจัยหลายด้านที่เอื้ออำนวยให้การส่งออกผลไม้ไทยไปยังสิบสองปันนามีโอกาสเติบโต ดังนี้ 1) ความต้องการผลไม้ไทยในจีน ผลไม้ไทยได้รับความนิยมสูงในตลาดจีน โดยเฉพาะในมณฑลยูนนานรวมถึงเขตสิบสองปันนา ทุเรียนเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงมากในจีน และราคาของทุเรียนไทยในจีนมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลไม้อื่นๆ เช่น มังคุดและลำไย ถือเป็นสินค้าพรีเมียม และผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ ก็ได้รับความนิยม 2) การพัฒนาเส้นทางคมนาคมและโลจิสติกส์ การเปิดใช้เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ทำให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปยังสิบสองปันนาทำได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และเพิ่มความสามารถในการจัดส่งผลไม้อย่างรวดเร็วเพื่อคงความสดใหม่เช่น ทุเรียนและมังคุด อีกทั้ง ด่านทางบกต่าลั่ว และด่านรถไฟโม่ฮาน เป็นจุดขนส่งที่สำคัญในการนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังสิบสองปันนา ทำให้การส่งออกผลไม้ไทยผ่านช่องทางเหล่านี้มีความสะดวกและสามารถส่งผลไม้ถึงมือผู้บริโภคได้ทันเวลา 3) การสนับสนุนจากภาครัฐ รัฐบาลไทยและจีนมีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยมีนโยบายที่สนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตร รวมถึงการลดภาษีและการเร่งรัดการผ่าน ด่านศุลกากร ส่งผลให้การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนโดยเฉพาะในสิบสองปันนาเป็นไปอย่างราบรื่น และมีการจัดแสดงสินค้าและโปรโมทผลไม้ไทยในงานต่างๆ ในจีน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มการรับรู้และความนิยมในสินค้าไทย 4) โอกาสขยายตลาดผลไม้ไทย ผู้บริโภคในจีนชื่นชอบผลไม้ไทยที่มีรสชาติดีและมีความหวาน ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในเขตสิบสองปันนาที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับทางภาคเหนือของไทย การขยายตลาดผลไม้สดและผลไม้แปรรูปผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce เป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนหันมาใช้การซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น การใช้ช่องทาง E-commerce ช่วยให้สามารถขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในจีนได้กว้างขวางขึ้น 5) คุณภาพและมาตรฐานสินค้า ผลไม้ไทยมีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่ดี เป็นที่ยอมรับในตลาดจีน โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารและการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต การส่งออกผลไม้ที่ได้มาตรฐานสามารถดึงดูดลูกค้าในจีนได้มากขึ้น
ธุรกิจการส่งออกผลไม้ไทยไปยังสิบสองปันนามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในจีน การพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ที่สะดวก และการสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้ประกอบการสามารถใช้โอกาสนี้ในการขยายธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce และการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในจีน
ธุรกิจท่องเที่ยว
โอกาสธุรกิจการท่องเที่ยวไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีศักยภาพสูง เนื่องจากพื้นที่นี้มีลักษณะทางวัฒนธรรม ภาษา และภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งส่งเสริมให้เกิดความสนใจและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รวมถึงการท่องเที่ยวระหว่างกัน ดังนี้ 1) การเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม คนในสิบสองปันนามีเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับคนไทยทางภาคเหนือ วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันนี้ช่วยส่งเสริมความสนใจในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านประเพณี วัฒนธรรมอาหาร การแต่งกาย และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสิบสองปันนามักสนใจเดินทางมาเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวในไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา ซึ่งสามารถพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกันได้ 2) การเชื่อมโยงทางคมนาคม เส้นทางบินตรงระหว่าง เชียงใหม่-สิบสองปันนา และ เชียงราย-สิบสองปันนา เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริม การท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ต้องการเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นและเพิ่มโอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากนี้ เส้นทางรถไฟจีน-ลาว (ที่เชื่อมต่อจากด่านรถไฟโม่ฮาน) เปิดโอกาสในการขยายการเดินทางจากจีนมายังลาวและไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้ไทยสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวข้ามประเทศได้ 3) ธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม นักท่องเที่ยวชาวจีนในสิบสองปันนามีความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น การเข้ามารับบริการนวดแผนไทย สปา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ ซึ่งสินค้าและบริการในกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูง การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าสนใจ โดยชาวจีนให้ความสนใจการรักษาในประเทศไทย เนื่องจากมีชื่อเสียงด้านบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม 4) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร อาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีน โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ดและสมุนไพรไทย ซึ่งสามารถต่อยอดธุรกิจร้านอาหารไทยในสิบสองปันนา รวมถึงการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าอาหารแปรรูปไทยเพื่อสนับสนุนตลาดนี้นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อมาลองชิมอาหารไทยในท้องถิ่น เช่น การท่องเที่ยวเชิงอาหารที่เน้นการสาธิตการทำอาหารและวัตถุดิบท้องถิ่น 5) การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและธรรมชาติ สิบสองปันนามีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงาม เช่น ป่าไม้ น้ำตก และพื้นที่สูง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับภูมิประเทศในภาคเหนือของไทย ทำให้มีโอกาสพัฒนาแพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย เช่น การเดินป่า การขี่ช้าง และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
6) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวไทยในสิบสองปันนา รวมถึงการสร้างโรงแรม ร้านอาหาร และศูนย์การค้าเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากไทย ก็เป็นโอกาสธุรกิจที่น่าสนใจ เนื่องจากจำนวนผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจการลงทุน
การท่องเที่ยวไทยในสิบสองปันนามีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากมีการพัฒนาความร่วมมือและสร้างสรรค์บริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว
ธุรกิจสปาและนวดแผนไทยโบราณ
โอกาสธุรกิจสปาและนวดแผนไทยโบราณในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีศักยภาพสูงและน่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการฟื้นฟูร่างกายได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกับไทยอย่างสิบสองปันนา ซึ่งมีลักษณะภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีที่คล้ายคลึงกับภาคเหนือของไทย ส่งผลให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวมีความสนใจในบริการที่เน้นสุขภาพและการผ่อนคลายมากขึ้น ดังนี้ 1) ความนิยมนวดแผนไทยและสปา นวดแผนไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบในจีนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการนวด เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าและบำบัดอาการต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ ซึ่งตรงกับความต้องการของคนจีนที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบและใช้เวลาทำงานนาน และการนวดแบบแผนไทยมีความพิเศษในการกดจุด ยืดกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลในร่างกาย ได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพในการบำบัด ส่งผลให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวสนใจบริการนวดแผนไทยมากขึ้น 2) แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นักท่องเที่ยวในจีนมีความสนใจการท่องเที่ยวที่เน้นการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสิบสองปันนา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เงียบสงบ การผสมผสานบริการสปาและนวดแผนไทยเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการการผ่อนคลายและดูแลสุขภาพระหว่างการเดินทาง และสปาไทยมีชื่อเสียงในด้านการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น น้ำมันหอมระเหย สมุนไพรไทย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในสิบสองปันนาได้เป็นอย่างดี 3) การขยายตัวของการท่องเที่ยวไทยในจีน การเปิดเส้นทางการบินตรงระหว่างไทยกับสิบสองปันนาช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและสปาไทยสามารถเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การเดินทางผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาว สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เดินทางมาจากจีนและลาวมายังธุรกิจนวดแผนไทยได้ 4) การลงทุนใน ธุรกิจสปาและการอบรมพนักงาน การฝึกอบรมพนักงานท้องถิ่นในด้านการนวดแผนไทยและการให้บริการสปาเป็นอีกโอกาสที่น่าสนใจ การลงทุนในโครงการฝึกอบรมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอการบริการที่ได้มาตรฐานและสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์สปาไทยที่มีคุณภาพสูง เช่น น้ำมันนวด สมุนไพร ครีมบำรุงผิว ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการบำรุงร่างกายและผิวพรรณ ทำให้ธุรกิจสปาและผลิตภัณฑ์เสริมความงามมีโอกาสเติบโตในพื้นที่นี้ 5) ความร่วมมือระหว่างไทยและจีน ภาครัฐของทั้งสองประเทศสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวและสุขภาพ ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการขยายธุรกิจสปาในจีน โดยเฉพาะในสิบสองปันนา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว 6) การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและการสร้างเครือข่ายธุรกิจ การทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมในจีน เช่น WeChat Tiktok และ Xiaohongshu เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีน อีกทั้งยังสามารถสร้างความร่วมมือกับโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อขยายธุรกิจสปาในสิบสองปันนา
ธุรกิจสปาและนวดแผนไทยโบราณในสิบสองปันนามีโอกาสเติบโตสูง โดยอาศัยความนิยมในสุขภาพและความงาม การขยายตัวของการท่องเที่ยวในจีน และการสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและจีน
ธุรกิจ Cross-border E-Commerce
โอกาสของธุรกิจ Cross-border E-commerce (การค้าข้ามพรมแดนออนไลน์) ของไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากการเติบโตของตลาดออนไลน์ในจีน การสนับสนุนจากภาครัฐของ ทั้งสองประเทศ และความต้องการสินค้าจากไทยในจีนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) การเติบโตของ E-commerce ในจีน จีนเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเขตเมืองรองอย่างสิบสองปันนา ซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนจีนสนใจซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ข้ามพรมแดน เช่น Tmall และ JD โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสินค้าเป็นที่นิยม เช่น ผลไม้สด สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ความงามจากสมุนไพร 2) ความนิยมสินค้าจากไทยในตลาดจีน สินค้าผลไม้ เช่น ทุเรียน ลำไย และมังคุด รวมถึงสินค้าสุขภาพและความงามจากสมุนไพรไทย เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดจีน การใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งสินค้าเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคได้โดยตรง คนจีนมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้า ออแกนิค สินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารแช่แข็ง ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง 3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ระหว่างไทยและจีนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสะดวกและรวดเร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการขนส่งสินค้า อีกทั้ง ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะในจีนสามารถช่วยให้การจัดเก็บและจัดส่งสินค้าจากไทยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจัดส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว 4) นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ รัฐบาลไทยและจีนมีนโยบายสนับสนุนการค้าข้ามพรมแดน โดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงลดภาษีและอุปสรรคทางการค้า ทำให้ธุรกิจ Cross-border E-commerce มีต้นทุนลดลงและสามารถขยายตัวได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการจัดงานแสดงสินค้าและงานประชาสัมพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในจีนช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถโปรโมทสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ธุรกิจ Cross-border E-commerce ของไทยในจีนรวมถึงสิบสองปันนามีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีชื่อเสียงในจีน เช่น ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และสินค้าเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดจีน
ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
โอกาสในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มีศักยภาพสูง เนื่องจากการเติบโตของการค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทยกับจีน รวมถึงการพัฒนาของเส้นทางคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อสองประเทศ โดยเฉพาะในเขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมธุรกิจดังกล่าว ดังนี้ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเปิดใช้ เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเชื่อมต่อนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ผ่าน สิบสองปันนากับ สปป.ลาว และมีการขยายเส้นทางไปถึงประเทศไทย ทำให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนสะดวกขึ้นอย่างมาก ลดเวลาและต้นทุนในการขนส่งลง โดยเส้นทางรถไฟนี้เชื่อมต่อกับ ด่านรถไฟโม่ฮาน ซึ่งเป็นด่านสำคัญสำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีนและลาว ทำให้สามารถขนส่งสินค้าไทยไปยังจีนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2) ศักยภาพในการขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรไทย เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย มีความต้องการสูงในจีน โดยเฉพาะในสิบสองปันนา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงสินค้าไทยได้ง่าย การขนส่งทางบกและทางรถไฟผ่านด่านทางบกเช่น ด่านต่าลั่ว ด่านรถไฟโม่ฮาน จะช่วยให้สินค้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้นและสามารถรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดี นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร อะไหล่รถยนต์ และสินค้าแปรรูปจากไทยไปยังสิบสองปันนาและมณฑลยูนนาน ผ่านระบบโลจิสติกส์ที่ได้รับการพัฒนา 3) การเติบโตของ E-commerce ข้ามพรมแดน การขยายตัวของ E-commerce ข้ามพรมแดน ทำให้การขนส่งสินค้าขนาดเล็กและสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น สินค้าความงาม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และอาหารแปรรูป มีความต้องการเพิ่มขึ้น บริการโลจิสติกส์ที่สามารถรองรับการจัดส่งสินค้าเหล่านี้ไปยังลูกค้าในจีนได้รวดเร็วและมีความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น และบริษัทโลจิสติกส์ที่สามารถจัดการการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การขนส่งระหว่างประเทศไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้าในจีนมีโอกาสสร้างเครือข่ายและขยายตลาดในภูมิภาคนี้ได้ 4) นโยบายสนับสนุนการค้าข้ามพรมแดน นโยบายด้านการค้าของไทยและจีน สนับสนุนการขยายตัวของการค้าข้ามพรมแดน โดยมีการลดอุปสรรคทางการค้าและการขยายการเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์ รวมถึงการส่งเสริมการใช้เส้นทางรถไฟและถนนเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ โดยรัฐบาลทั้งสองประเทศสร้างความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยลดภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ สำหรับการนำเข้าส่งออกสินค้า ทำให้ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว 5) การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ การนำเทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะ (Smart Logistics) เช่น การติดตามสินค้าผ่าน GPS การใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการคลังสินค้า และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง สามารถช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้าได้อย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดจีนได้ดีขึ้น และการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ในการเชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขาย รวมถึงการให้บริการการจัดส่งแบบครบวงจรตั้งแต่ประเทศไทยถึงมือผู้บริโภคในสิบสองปันนา เป็นอีกหนึ่งโอกาสในการขยายธุรกิจ
ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยในสิบสองปันนามีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะในด้านการขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวและด่านข้ามพรมแดนต่าง ๆ นอกจากนี้ การเติบโตของ E-commerce ข้ามพรมแดนและการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเสริมสร้างธุรกิจนี้
- 5. สินค้าและบริการของไทยในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา
สินค้าและบริการของไทยที่ส่งออกไปยังสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน มีความหลากหลาย เป็นที่นิยม และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหาร ผลไม้ สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว อีกทั้ง มีแนวโน้มความต้องการของตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดของสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยม ดังนี้
ผลไม้สดและแปรรูป
ผลไม้ไทยเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ที่ผ่านมาตลาดส่งออกผลไม้และลูกนัตที่บริโภคได้ใน HS Code 08 ที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือจีนทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่า ในปี พ.ศ.2566 การส่งออกผลไม้ไปยังจีน มีปริมาณมากถึง 2,358,103 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.93 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.00 ของปริมาณการส่งออกผลไม้และลูกนัตที่บริโภคได้ใน HS Code 08 ของไทย โดยพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ รายการผลไม้ที่จีนอนุญาตนำเข้าจากประเทศไทย (วันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2567) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าว ฝรั่ง เงาะ ขนุน ลองกอง สับปะรด ละมุด กล้วย เสาวรส เสาวรส(ผลสีม่วง) มะละกอ ส้มเปลือกล่อน ส้ม ส้มโอ มะเฟือง น้อยหน่า มะขาม มะม่วง ลิ้นจี่ ชมพู่
ผลไม้สำคัญของไทยที่จีนนำเข้า มีปริมาณการส่งออกทุเรียน ลำไย มังคุด และมะพร้าวของไทยไปประเทศ/เขตดินอดนสูงสุด 5 อันดับแรก ปี พ.ศ.2564-2566 ตามตาราง
เมื่อพิจารณาเชิงปริมาณของการส่งออกผลไม้ของไทยปี พ.ศ.2566 ในส่วนของทุเรียน ตลาดส่งออกหลักของไทยคือจีน มีการส่งออกทุเรียนไปจีน 953,777 ตัน คิดเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 96.19 ของปริมาณการส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.43 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 เมื่อพิจารณาการส่งออกในช่วงปี 2564 – 2566 มีแนวโน้ม การส่งออกไปตลาดจีนเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่องทางการขนส่งสินค้าตรงจากไทยไปจีนมีความสะดวก รวดเร็ว และหลากหลายเพิ่มขึ้น ครอบคลุม ทั้งการขนส่งทางทะเล ทางถนน ทางราง และทางอากาศ ในส่วนของลำไย ตลาดส่งออกหลักของไทยคือจีน มีปริมาณการส่งออกลำไยไปจีน 332,866 ตัน ลดลงร้อยละ 2.12 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 เมื่อพิจารณาการส่งออกในช่วงปี 2564 – 2566 พบว่ามีการส่งออกลำไยไปจีนในสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 – 80 ในส่วนของมังคุด ตลาดส่งออกหลักของไทยคือจีน มีปริมาณการส่งออกมังคุดไปจีน 218,691 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.67 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 โดยพบว่ามีสัดส่วนการส่งออกไปจีนประมาณร้อยละ 90 ของปริมาณการส่งออกมังคุดของไทย ในส่วนของมะพร้าว ตลาดส่งออกหลักของไทยคือจีน มีปริมาณการส่งออกมะพร้าวไปจีน 591,680 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.54 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2565 โดยมีสัดส่วนของการส่งออกไปจีน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ.2566 มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 90.71
ชาวจีนมีแนวโน้มบริโภคผลไม้ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ประชาชนมีกำลังบริโภค คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากปัจจัยคุณภาพความปลอดภัยของผลไม้และรสชาติของผลไม้ไทยแล้ว มีอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลคือชาวจีนเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทยจำนวนมาก มีโอกาสรับประทานผลไม้ไทยหลากหลายชนิดในประเทศไทย เมื่อกลับมาจีนยังติดใจในรสชาติ และมีการซื้อหาบริโภคในจีนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ของหน่วยงานต่างๆ ของไทยในจีน
สถานการณ์ด่านนำเข้าผลไม้ไทยทางบกและทางเรือที่สำคัญของสิบสองปันนา ดังนี้ 1) ด่านทางบกโม่ฮาน รถขนส่งสินค้าฝั่งลาวผ่านเข้าด่านเฉลี่ยวันละ 400-500 คัน เวลาทำการ 08.30-20.30 น.(เวลาท้องถิ่นจีน) ปริมาณรถบรรทุกที่จะผ่านด่านมีปริมาณมากในช่วงฤดูกาลของผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยและลาว 2) ด่านรถไฟโม่ฮาน ผู้ใช้บริการขนส่งต้องทำการนัดหมายจองขบวนรถไฟล่วงหน้ากับผู้ให้บริการขนส่งทางรถไฟฝั่งลาวก่อนการขนส่ง สามารถนำเข้าผลไม้จากไทยได้ ปัจจุบันเส้นทางรถไฟลาว-จีน ปัจจุบันมีขบวนรถไฟสำหรับขนส่งผลไม้ 3 ขบวน/วัน (สามารถขนส่งได้ขบวนละ 35 ตู้) 3) ท่าเรือกวนเหล่ย เป็นเส้นทางขนส่งผลไม้ทางเลือกใหม่ผู้ประกอบควรศึกษาข้อมูลและต้นทุนในการขนส่งจากผู้ให้บริการขนส่งเพื่อประกอบการพิจารณาเลือกเส้นทางขนส่ง
สินค้าอุปโภคบริโภค
ประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยที่นิยมในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา ได้แก่ 1) อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำผลไม้ ขนมขบเคี้ยว และซอสต่างๆ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้พร้อมดื่ม เนื่องจากรสชาติและคุณภาพที่ถูกใจผู้บริโภค 2) เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น ครีมบำรุงผิว สบู่สมุนไพร ยาสีฟันสมุนไพร และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เพราะผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพและส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ปลอดภัย การขยายตัวของการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดนช่วยส่งเสริมให้สินค้ากลุ่มนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดจีนตอนใต้ 3) ของใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการออกแบบที่ทันสมัยและคงทน 4) ผลไม้แปรรูป เช่น ทุเรียนอบแห้ง และผลไม้เชื่อม เนื่องจากความสะดวกในการขนส่งและการเก็บรักษา 5) สินค้าเพื่อสุขภาพ ยาหม่อง น้ำมันสมุนไพร น้ำมันหอมระเหย เกลือสปา และโลชั่น ที่ใช้ในการนวดหรือบำบัดร่างกาย
โอกาส ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสินค้าจากไทยมีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับ รวมถึงการพัฒนาเส้นทางการขนส่ง เช่น ด่านรถไฟและทางหลวงที่เชื่อมจีนและไทย ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตได้ดี ความท้าทาย แม้ว่าไทยจะมีโอกาสในตลาดจีน แต่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและการบริโภคของคนท้องถิ่น รวมถึงการแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามและมาเลเซีย
สินค้าหัตถกรรม
ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของไทย ของใช้ในครัวเรือน ที่มีความโดดเด่นทางวัฒนธรรม มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีคุณภาพสูง ได้แก่ ผ้าไหม ผลิตภัณฑ์จากไม้แกะสลัก และเครื่องปั้นดินเผา เป็นที่สนใจของผู้บริโภคในพื้นที่เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา และกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างมาก
สินค้าหัตถกรรมไทยในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนาเป็นที่นิยม เนื่องจากมีความประณีตและสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย โดยสินค้าหัตถกรรมที่พบได้บ่อยในตลาดสิบสองปันนา ได้แก่ 1) ผ้าไหมและผ้าทอมือ ผ้าไหมไทยหรือผ้าทอมือจากชาวบ้านในภาคอีสานหรือภาคเหนือที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย 2) เครื่องจักสาน ตะกร้า หรือของใช้ในบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ หวาย หรือวัสดุธรรมชาติ ซึ่งมักเป็นที่สนใจของผู้ที่ต้องการสินค้าธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3) เครื่องเงินและเครื่องประดับ สินค้าเครื่องเงินที่มีลวดลายไทยประยุกต์ เช่น สร้อย กำไล หรือเครื่องประดับอื่นๆ ที่ทำด้วยมือและมีความละเอียดอ่อน 4) ผลิตภัณฑ์จากไม้แกะสลัก เช่น พระพุทธรูป รูปช้าง หรือของตกแต่งบ้านที่มีลวดลายไทยโบราณ 5) เครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์เซรามิกหรือดินเผาแบบไทย เช่น โอ่ง แจกัน หรือของใช้ในบ้านที่มีการออกแบบแบบดั้งเดิมหรือประยุกต์
สินค้าหัตถกรรมเหล่านี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม เนื่องจากมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนถึงความประณีตและศิลปะท้องถิ่นของไทย
- แผน/ผลการดำเนินการของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง ในเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
1.จัดสัมนนาชี้ช่องให้ SMEs เจาะตลาดจีนด้วย Cross Border E-Commerce (โดยร่วมกับพาณิชย์จังหวัด)
เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2566 สคต.คุนหมิง ได้นำผู้นำเข้าสินค้าไทยในสิบสองปันนาเข้าเจรจากับผู้บริหาร ตลาดก้าวจวง เรื่องพื้นที่ที่จะนำสินค้าศิลปหัตถกรรมทางภาคเหนือของไทยเข้ามาขายในตลาดโดยนำเข้ามาทาง ท่าเรือกวนเหล่ย (สคต.คุนหมิง พร้อมเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างนักธุรกิจไทย-สิบสองปันนา)
- การเดินทางไปปฏิบัติราชการ ณ เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน
เมื่อวันที่ 3-5 มีนาคม พ.ศ.2567 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง นำโดย นายณัฐ วิมลจันทร์ ผู้อำนวยการ เดินทางไปปฏิบัติราชการในเขตอาณา เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายรัฐบาลไทย ในการผลักดันเศรษฐกิจไทย พัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี วางฐานและส่งเสริมกิจกรรม Soft Power ดังนี้
1) การพบหารือหน่วยงานภาครัฐ เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เริ่มภารกิจเยือนเขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เข้าพบหารือกับนายหู เหวินชาง ผู้อำนวยการ กองการพัฒนาเศรษฐกิจ ประจำสำนักงานคณะกรรมการบริหารเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีน (บ่อเต็น) ลาว – (โม่ฮาน) และนายหู ผิงเจี่ย รองผู้อำนวยการ สำนักพาณิชย์สิบสองปันนา ณ ร้านไทยปันนา ร้านอาหารไทย Thai SELECT Signature ต้นแบบ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานพันธมิตร ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของร้านอาหาร Thai SELECT และเตรียมการรับรองการนำเข้าผลไม้ไทยในช่วงฤดูกาลเข้าประเทศจีน
2) สำรวจร้านอาหารไทย Thai SELECT เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง เดินทางไปปฏิบัติราชการสำรวจและเยี่ยมเยือนร้านอาหารที่ได้รับ Thai SELECT เขตปกครองตนเองชนชาติไทสิบสองปันนา จำนวน 3 ร้าน ได้แก่ ร้าน Thai Banna ร้าน White House และร้าน Tai Fei ขณะเดียวกัน ได้มอบใบเกียรติบัตร Thai SELECT Classic ให้แก่ร้าน White House จำนวน 2 สาขา (กรณีขอต่อ) ได้แก่ ร้าน Tianshu White House Rainforest Restaurant และร้าน Mekong White House River View Restaurant โดยได้มอบนโยบายการเป็น Thai SELECT ต้นแบบ ได้แก่ พนักงานใส่ Uniform ชุดไทย/ผ้าไทย ประดับตกแต่งร้าน Thai SELECT แบบไทยหรือมีของตกแต่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมไทย วางจำหน่ายสินค้าและบริการ Soft Power ของไทย ส่งเสริมคอนเทนต์/ภาพยนตร์/ ซีรีส์/เพลงไทยในร้าน Thai SELECT ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวของไทย เป็นต้น พร้อมเน้นย้ำความคาดหวังของรัฐบาลไทยต่อร้านอาหาร Thai SELECT ให้เป็นจุดช่วยกระจายสินค้าไทยที่วางจำหน่ายภายในร้านอาหาร Thai SELECT และเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ความเป็นไทยได้อีกทาง ยังเน้นให้ความสำคัญการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยเข้ามาจีนมากขึ้น สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเรื่องด่าน ผลักดันให้ส่งออกผลไม้ไทยและสินค้าประเภทอื่นๆ สามารถเข้ามาจีนเพิ่มขึ้น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง พบหารือกับคณะนักธุรกิจไทยที่เดินทางมาเขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ในการเข้าร่วมเจรจาการค้าและจับคู่ธุรกิจบนเส้นทางรถไฟไทย-ลาว-จีน และสำรวจตลาดก้าวจวง ซึ่งเป็นภารกิจต่อยอดการเชื่อมโยงระหว่างนักธุรกิจไทย-สิบสองปันนาและติดตามความคืบหน้า ส่งเสริมผลักดัน Cross-Border E-Commerce ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆของจีน เป็นเครื่องมือเจาะตลาดจีน สร้างโอกาสให้สินค้าเกษตร หัตถกรรม และสินค้า OTOP คุณภาพจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยส่งออกมายังประเทศจีน
- รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และคณะเยือนสิบสองปันนา-โม่ฮาน
1) ผลักดันการอำนวยความสะดวกการนำเข้าผลไม้ไทยในช่วงฤดูผลไม้ออกสู่ตลาดจีน
ด่านทางบกโม่ฮาน ขอให้จีนขยายระยะเวลาทำการเปิด-ปิดด่านในช่วงฤดูผลไม้ ด่านขยายเวลาทำงานในกรณีรถติดหน้าด่านเกินกว่า 50 คัน มีการรายงานจำนวนรถขนส่งที่ผ่านด่านโม่ฮานเป็นประจำ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความหนาแน่นติดขัดบริเวณทางเข้า-ออก และขยายช่องทางของด่านจาก 2 เป็น 12 ช่องทาง ภายในระยะเวลา 2 ปี
รถไฟลาว-จีน ขอเพิ่มจำนวนแคร่รถไฟและตู้ Cold Chain ให้เพียงพอและเกิดรอบขนส่งมากขึ้น รวมถึงลดการขาดแคลนแคร่และการหมุนเวียนตู้ Cold Chain โดยรัฐบาลจีนมีแผนการผลิตจำนวนตู้ Cold Chain เพิ่มตามความต้องการหรือกลไกของตลาด
2) ผลักดันการใช้ประโยชน์และสร้างโอกาสจากท่าเรือกวนเหล่ย
สคต.คุนหมิง ร่วมกับ สกญ.คุนหมิงและทูตเกษตรกว่างโจว ผลักดันการส่งโคมีชีวิตและเนื้อโคแช่แข็ง และการนำเข้าผลไม้ไทย ผ่านท่าเรือกวนเหล่ย กับทางการจีนในระดับมณฑล (กรมพาณิชย์ยูนนาน) ให้ช่วยผลักดันต่อไปยังหน่วยงานส่วนกลาง (GACC ปักกิ่ง) โดยการผลักดันประสบผลสำเร็จ ปัจจุบันสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) ได้ประกาศเพิ่มรายชื่อสถานที่ตรวจกักกันจำเพาะสำหรับการนำเข้าผลไม้ของด่านท่าเรือกวนเหล่ยอย่างเป็นทางการ
3) การหารือกับเอกชนสิบสองปันนา
สร้างความร่วมมือกับเอกชนสิบสองปันนา ในการผลักดันการนำเข้าผลไม้ของไทย (โดยเฉพาะทุเรียน) สินค้าอาหารและเครื่องดื่มของไทย สินค้าเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทย สร้างร่วมมือทางด้านโลจิสติกส์และด้านอสังหาริมทรัพย์ สร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย-สิบสองปันนา รวมถึงประเทศที่ 3 ให้เป็น Tourism Hub
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง
กันยายน 2567
ที่มา :
https://www.researchgate.net/figure/Illustrative-map-of-Xishuangbanna-Autonomous-Prefecture_fig1_378570781
https://yndrc.yn.gov.cn/html/2024/tongdaojingji_0708/17295.html
http://www.customs.gov.cn/customs/ztzl86/302310/2394720/4852287/index.html
https://mp.weixin.qq.com/s/ZC0Zz4lFaG0DlCDZvnNShw
https://www.xsbn.gov.cn/xsbnzswj/17343.news.detail.dhtml?news_id=2911618
https://www.xsbn.gov.cn/tjj/67471.news.detail.dhtml?news_id=2916880
https://www.yn.gov.cn/ywdt/zsdt/202403/t20240318_296518.html
https://www.yn.gov.cn/ztgg/zdszjjpcynjsd/xwjj/202405/t20240515_299475.html
https://www.opsmoac.go.th/guangzhou-news-files-461491791211
https://m.yunnan.cn/system/2024/08/23/033198122.shtml
https://www.yn.gov.cn/ztgg/zdszjjpcynjsd/xwjj/202405/t20240515_299475.html
https://www.opsmoac.go.th/guangzhou-checkpoint_situation-files-451191791793