USDA ปรับเพิ่มคาดการณ์การนำเข้าข้าวปีนี้ของฟิลิปปินส์เป็น 4.7 ล้านตัน
ตามรายงานธัญพืชของตลาดโลกและการค้าของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA) ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์เป็น 4.7 ล้านตันในปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 จากการประมาณการก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 4.2 ล้านตัน โดยอ้างถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นและอัตราภาษีนำเข้าที่จะลดลงจากการที่คณะกรรมการสำนักงานเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งชาติ (NEDA) ได้เห็นชอบแผนการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ซึ่งรวมถึงการลดอัตราภาษีนำเข้าข้าวจากร้อยละ 35 เป็นร้อยละ 15 ไปจนถึงปี 2571 ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์มีการนำเข้าข้าวปริมาณรวม 3.62 ล้านตันต่ำกว่าการคาดการณ์ของ USDA ที่ 4.6 ล้านตัน และล่าสุดตามข้อมูลของสำนักอุตสาหกรรมพืช (BPI) ระบุว่า ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2567 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวแล้วปริมาณ 2.17 ล้านตัน คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการคาดการณ์ของ USDA สำหรับการนำเข้าข้าวในปีนี้ โดยการนำเข้าข้าวส่วนใหญ่มาจากประเทศเวียดนามและไทย โดยนำเข้าจากเวียดนามปริมาณ 1.52 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 72.7 และประเทศไทยปริมาณ 319,740.74 ตัน คิดเป็นร้อยละ 15.3 ของการนำเข้าทั้งหมด ตามลำดับ นอกจากนี้ USDA ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ว่าการบริโภคข้าวของฟิลิปปินส์จะอยู่ที่ 17.4 ล้านตันในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากการประมาณการปี 2566 ที่ 16.8 ล้านตัน
นายลีโอนาโด เอ. ลันโซนา ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Ateneo De Manila กล่าวว่าการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าข้าวจะผลักดันให้มีการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น และแม้ว่าจะไม่มีนโยบายดังกล่าวก็คาดการณ์ว่าการนำเข้าจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยอัตราภาษีที่ลดลงเป็นเพียงการเร่งแนวโน้มให้เร็วขึ้นเท่านั้น ขณะที่นาย Raul Q. Montemayor ผู้จัดการของสหพันธ์เกษตรกรอิสระแห่งชาติกล่าวว่า ผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อพืชผลทางการเกษตรในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจนำไปสู่การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มช่องว่างของอุปทาน และการลดอัตราภาษีนำเข้าจะทำให้ผู้นำเข้ามีกำไรมากขึ้นในการนำเข้าข้าวนอกเหนือจากการขาดแคลนภายในประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานสภาพอากาศของรัฐบาลหรือที่รู้จักกันในชื่อ PAGASA ได้ประกาศการสิ้นสุดของปรากฏการณ์เอลนีโญ และกล่าวว่าโอกาสที่ปรากฎการณ์ลานีญา (La Niña) จะเกิดขึ้น คือร้อยละ 69 ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน นอกจากนี้ นาย Michael L. Ricafort หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Rizal Commercial Banking Corp. ระบุว่าการเตรียมการสำหรับปรากฎการณ์ลานีญา (La Niña) อาจนำไปสู่การนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อเพิ่มอุปทานในท้องถิ่นและจัดการอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในแต่ละปี ฟิลิปปินส์จำเป็นต้องนำเข้าข้าวประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการทั้งหมด
ที่มา: หนังสือพิมพ์ Business World
บทวิเคราะห์และข้อคิดเห็น
- ฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่มีการบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักเฉลี่ยมากถึงปีละประมาณ 16 ล้านตัน แต่ไม่สามารถผลิตข้าวได้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ โดยฟิลิปปินส์สามารถผลิตได้เพียงปีละประมาณ 12 – 13 ล้านตัน ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวปีละกว่า 3 ล้านตัน ส่งผลให้ปัจจุบันฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ยังเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่สุดในเอเชียเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักพื้นฐานของประเทศที่มีความท้าทายหลายประการ ในการผลิตข้าวให้เพียงพอกับความต้องการและการขยายตัวของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละปี และฟิลิปปินส์ยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุไต้ฝุ่นที่ส่งผลต่อความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรทุกปี รวมถึงการขาดแคลนเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของประชากรในแรงงานภาคเกษตร นอกจากนี้ ล่าสุดฟิลิปปินส์ยังได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ที่ส่งผลเสียหายต่อผลผลิตข้าวในประเทศลดลง รวมทั้งความกังวลต่อปรากฎการณ์ลานีญาที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้มีความต้องการนำเข้าข้าวจำนวนมากเพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ส่งผลให้ USDA ปรับเพิ่มการคาดการณ์การนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ในปีนี้จะสูงถึง 4.1 ล้านตัน ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสของการขยายการส่งออกข้าวของไทยมาตลาดฟิลิปปินส์เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว ทั้งนี้ ในปี 2566 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวปริมาณรวม 3.61 ล้านตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 2.97 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 82.23 รองลงมาได้แก่ ไทย ปริมาณ 3.42 แสนตัน (ร้อยละ 9.46) และเมียนมา ปริมาณ 1.56 แสนตัน (ร้อยละ 4.33) ตามลำดับ สำหรับในปี 2567 (เดือนมกราคม – มีนาคม) ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวแล้วปริมาณ 1.15 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณนำเข้า 856,752 ตัน โดยนำเข้าจากเวียดนามเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 681,974 ตัน คิดเป็นร้อยละ 59.30 ของการนำเข้าทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ไทย ปริมาณ 267,608 ตัน (ร้อยละ 23.27) และ ปากีสถาน 123,274 ตัน (ร้อยละ 10.72) ตามลำดับ ทั้งนี้ ข้าวไทย ข้อได้เปรียบสำคัญในเรื่องคุณภาพมาตรฐานที่เป็นที่เชื่อมั่นใจของผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ แต่ยังคงต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญ คือ เวียดนามที่มีพันธุ์ข้าวขาวพื้นนุ่มตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาและผลิตพันธุ์ข้าวให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะข้าวขาวพื้นนุ่มเพื่อตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดฟิลิปปินส์จึงจะมีโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวในฟิลิปปินส์ได้มากขึ้นต่อไป
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
กรกฎาคม 2567