ธุรกิจเครื่องจักรกลของเยอรมนีกำลังประสบอย่างหนักจากสถานการณ์ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ โดยพบว่ามีปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้ง ภาคเอกชนต่างก็ลดการลงทุนลง และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งหวังการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ก็กำลังประสบปัญหาดำเนินไปอย่างล่าช้า ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่า กลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลของเยอรมนีจะหันไปย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศมากขึ้น ประเด็นดังกล่าวได้มาจากการสำรวจข้อมูลของสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมเหล็ก (Industriegewerkschaft Metall, IG Metall) โดยสมาคมผู้ผลิตเครื่องจักรและโรงงานเยอรมนี (VDMA -Verband Deutscher Maschinen- und Anlagenbau) คาดการณ์ว่า ในปี 2024 การผลิตเครื่องจักรกลของเยอรมนีจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 เป็นต้นมาปริมาณคำสั่งซื้อได้ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งในเดือนมกราคมคำสั่งซื้อเครื่องจักรกลลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 10% แบ่งย่อยเป็นคำสั่งซื้อจากในประเทศลดลง 11% และคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง 9% และ VDMA ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ยอดการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (Euro Zone) ลดลง 19% ซึ่งเป็นการลดลงที่สูงกว่ายอดการสั่งซื้อสินค้าจากกลุ่มประเทศนอกกลุ่ม Euro Zone ที่ลดลงเพียง 5% เท่านั้น และยังพบอีกว่า มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องจักรกลจะหันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นาย Johannes Schmidt ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Indus บริษัทร่วมลงทุนในภาคอุตสาหกรรมกล่าวว่า “เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน โดยผู้ประกอบการจะหันไปลงทุนในอเมริกาเหนือมากขึ้น” โดยลูกค้าชาวยุโรปของบริษัท Indus หลายรายกำลังลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกาเหนือ ซึ่งกล่าวกันว่า “คุณมีสิทธิเลือกว่าจะมาพร้อมกับเรา – หรือไม่อย่างงั้นเราก็จะเข้าไปซื้อธุรกิจในประเทศนั้น ๆ” นาย Schmidt คาดการณ์ว่า ปริมาณการลงทุนในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากข้อมูลของ VDMA พบว่า อเมริกาเหนือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของตลาดเครื่องจักรก่อสร้างทั่วโลก และขยายตัวขึ้นอีก 21% ในปี 2023
ในทางกลับกันบริษัทวิศวกรรมเครื่องกลของเยอรมนีกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยพวกเขาตั้งความหวังไว้กับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (Ai) ค่อนข้างสูง ซึ่งนาย Schmidt กล่าวว่า “เราเห็นศักยภาพที่ยอดเยี่ยมในการประยุกต์ใช้ AI กับสินค้าของพวกเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ใช้งานในระบบการจัดจำหน่ายหรือการบริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทางเทคนิคในการใช้งานเฉพาะด้านอีกด้วย อาทิ การจัดการกระบวนการอัตโนมัติหรือการตรวจสอบระบบ เป็นต้น” ด้วยเหตุนี้เองเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทของ นาย Schmidt จึงได้ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการบริษัท Gestalt Robotics (บริษัทผลิตระบบอัตโนมัติสัญชาติเยอรมัน) โดยในเดือนมีนาคม 2024 บริษัทวิศวกรรมเครื่องกล Gea ได้ซื้อบริษัทซอฟต์แวร์การเกษตร Cattle Eye จากประเทศไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจผ่านระบบ AI สำหรับภาคเกษตรกรรม โดยนาย Stefan Klebert หัวหน้า Gea กล่าวว่า “ในเวลานี้บริษัทกำลังพัฒนาเครื่องจักรและพัฒนากระบวนการด้วย AI ที่ ชาญฉลาดและยั่งยืนมากขึ้น” นอกจากนี้ Gea ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องกลยังต้องการที่จะขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย โดยโฆษกของ Gea กล่าวว่า “เราเห็นโอกาสในการเติบโตเป็นพิเศษในประเทศอินเดีย” นอกจากนี้บริษัทกำลังสร้างศูนย์เทคโนโลยีสำหรับพัฒนาโปรตีนทางเลือกในสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่า 18 ล้านยูโร อีกด้วย
อย่างไรก็ตามนาย Jürgen Kerner จาก IG Metall ก็ออกมาเตือนว่า การลงทุนในต่างประเทศ หรือการปรับโครงสร้างของบริษัทเพียงอย่างเดียวนั้น จะไม่ช่วยบริษัทวิศวกรรมเครื่องกลเยอรมันได้โดยอัตโนมัติ พวกเขาต้องมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมให้เป็นสีเขียวได้อีกด้วย นาย Kerner กล่าวว่า “หากไม่มีเครื่องจักรและระบบที่มีนวัตกรรมสูง โรงงานต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายกระบวนการผลิตแบบดิจิทัลได้” แต่จากการสำรวจของ IG Metall แสดงให้เห็นว่า ไม่มีแนวโน้มการลงทุนเชิงลุกในเชิงนวัตกรรมดังกล่าวมากนัก โดยการลงทุนในปัจจุบัน รวมถึงการลงทุนในด้านการค้นคว้าและวิจัย ยังเรียกได้ว่าอยู่ในระดับก่อนวิกฤตโคโรน่าในปี 2020 เท่านั้น มีเพียง 13% ของบริษัทที่สำรวจวางแผนขยายการลงทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่ 32% คาดว่า จะลดการลงทุนลง สำหรับ 55% คาดว่า สถานการณ์การลงทุนน่าจะเท่าเดิม โดยสหภาพแรงงานและผู้ประกอบการจึงต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐมากกว่านี้ด้วย นาย Schmidt กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคการเมืองที่มากกว่านี้” ในส่วน IG Metall ก็ออกมาเรียกร้องให้มีการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐต่าง ๆ และจากรัฐบาลกลาง เพื่อสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงตนไปสู่วิศวกรรมเครื่องกลสีเขียวให้เร็วขึ้น นอกจากนี้พวกเขายังต้องการให้ประเทศเยอรมนียังคงรักษาตัวให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมวิศวกรรมเครื่องกลต่อไป และเพราะหากรักษาความเป็นผู้นำของเยอรมนีได้ก็จะให้พวกเขามีความมั่นคงในการประกอบอาชีพต่อไปนั่นเอง
จาก Handelsblatt 19 เมษายน 2567