ธุรกิจบริการร้านอาหารในกรุงเฮลซิงกิกำลังเผชิญวิกฤติ

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฟินแลนด์ Helsingin Sanomat รายงานข่าวว่า จำนวนธุรกิจร้านอาหารในกรุงเฮลซิงกิมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว
จากการรวบรวมข้อมูลโดยบริษัท Asiakastieto ในปี 2566 จำนวนร้านอาหารที่ล้มละลายในเมืองหลวงกรุงเฮลซิงกิเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจาก 41 แห่ง โดยในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว มีร้านคาเฟ่ หรือร้านอาหารทั้งหมดจำนวน 16 แห่งประกาศล้มละลาย โดยมีการยื่นคำขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือล้มละลายจากบริษัทต่างๆ เช่น Tortilla House, Fat Lizard Herttoniemi, Lily Lee และ Fat Ramen
เจ้าของภัตตาคาร Meiccu ในเมือง Meilahti กรุงเฮลซิงกิ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า นิสัยของผู้บริโภคชาวฟินแลนด์เปลี่ยนไป โดยมีจำนวนผู้ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านน้อยลงกว่าเดิม และเมื่อผู้บริโภคออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน มีแนวโน้มที่จะประหยัดมากขึ้น ไม่สั่งเครื่องดื่มราคาแพง เช่น schnapps และ cognac รวมทั้งเลือกน้ำเปล่าแทนการดื่มไวน์

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่สั่งอาหารเรียกน้ำย่อย (starter) อาหารจานหลัก (main course) และของหวาน แต่ตอนนี้ ผู้บริโภคกลับสั่งแค่อาหารจานหลัก หรืออาจสั่งแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น โดยเจ้าของภัตตาคารผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าเศร้า และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 20 ปี คาดว่ากรุงเฮลซิงกิจะไม่มีเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กเหลืออยู่ คงอาจจะมีธุรกิจร้านอาหารที่เป็นจากเครือใหญ่เท่านั้น (Chain restaurants) และประเพณีพื้นบ้านก็จะหายไป

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค คือ อัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากปัญหารัสเซีย – ยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการล้มละลายจากบริษัท Asiakastieto ได้กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดที่มากกว่าร้อยละ 7 ส่งผลกระทบต่อทั้งวัตถุดิบ และต้นทุนทรัพย์สิน แต่ร้านอาหารกลับยังไม่สามารถขึ้นราคาอาหารกลางวันได้ในระดับเดียวกัน โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวสรุปว่า ในทางปฏิบัติ ราคาต้นทุนต่างขึ้นทั้งหมด แต่ค่าจ้างแรงงานกลับคงเดิม
นอกจากนี้ บริษัทเจ้าของทรัพย์สินจากต่างชาติรายใหญ่ที่ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ไม่ต้องการลดค่าเช่า แม้ว่าสภาพแวดล้อมของตลาดจะเปลี่ยนไปก็ตาม บริษัทเหล่านี้ต่างต้องการเก็บทรัพย์สินไว้ว่างๆ แทน

ผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงอยู่เช่นกัน ความช่วยเหลือทางการเงินที่ร้านอาหารได้รับในช่วงวิกฤตไม่เพียงพอที่จะชดเชยการสูญเสียรายได้ ส่งผลให้ร้านอาหารหลายแห่งจำเป็นต้องใช้เงินสดสำรองเพื่อดำเนินกิจการต่อไป การเปลี่ยนไปใช้การทำงานแบบผสมผสาน (hybrid) และการทำงาน work-from-home ของประชาชนทำให้จำนวนลูกค้าพนักงานบริษัทที่ปกติออกมารับประทานอาหารในร้านอาหารในช่วงพักกลางวันลดลง

ทั้งนี้ มีธุรกิจบริการร้านอาหารมากถึงร้อยละ 17 กำลังประสบปัญหาทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์ไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่ประสบปัญหานี้ อุตสาหกรรมร้านอาหารในเดนมาร์ก และสวีเดนยังประสบปัญหาเดียวกัน โดยในสวีเดนนั้น ในปี 2566 การล้มละลายอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยปัจจุบันความเสี่ยงในการล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในภาคการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมธุรกิจบริการร้านอาหารอยู่ในอันดับที่สอง

บทวิเคราะห์ผลกระทบต่อไทย ข้อเสนอแนะ โอกาสและแนวทาง และความคิดเห็นของสคต.:
• ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติฟินแลนด์พบว่า ปัจจุบันฟินแลนด์มีประชากรรวม 5.60 ล้านคน อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 7.8 โดยมีผู้อยู่อาศัยในกรุงเฮลซิงกิจำนวน 0.65 ล้านคน
• ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จำนวน 5 แห่งในกรุงเฮลซิงกิ แบ่งเป็นร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT Signature จำนวน 1 แห่ง คือ Boon Nam และร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT Classic จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ Thai Orchid Villa (Kamppi), Bangkok 9 – Mall of Tripla, Krung Thep Thai Bistro สาขา Arabia และ Kalasatama ซึ่งจากการสอบถามร้านอาหาร Thai SELECT พบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มดังกล่าวจริง
• การประกอบธุรกิจบริการร้านอาหารในกลุ่มประเทศนอร์ดิกปัจจุบันมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจบริการร้านอาหารในฟินแลนด์ และกลุ่มประเทศนอร์ดิกควรศึกษาสภาพตลาดปัจจุบัน เพื่อพัฒนา และปรับปรุงรูปแบบการให้บริการเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ที่มาของข่าว: Helsinki Times

thThai