ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาเตรียมพร้อมตั้งรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ มีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นการแข่งขันระหว่าง Joe Biden ประธานาธิบดีคนปัจจุบันและ Donald Trump ผู้ท้าชิง คาดการณ์ว่าผลลัพท์ของการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ภาคธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯกำลังเฝ้าจับตาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหลายรายได้เตรียมพร้อมวางแผนตั้งรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้แล้ว

 

เมื่อพิจารณานโยบายการทำงานที่ผ่านมาของประธานาธิบดี Joe Biden และการทำงานที่ผ่านมาและเนื้อหาในการหาเสียงในสมัยเลือกตั้งครั้งนี้ของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump แล้ว พบว่า หาก Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง มีแนวโน้มสูงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอุตสาหกรรมการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯและประเทศคู่ค้าสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบมากกว่า หากประธานาธิบดี Biden ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง

 

ในสมัยที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 เขาได้ใช้อำนาจประธานาธิบดีออกคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนระหว่างร้อยละ 10 – 25 โดยไม่ผ่านเข้ากระบวนการรับรองของรัฐสภาสหรัฐฯตามที่ควรจะเป็นมาแล้ว และนำไปสู่ความเข้มข้นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ในครั้งนี้ Donald Trump ยังคงหาเสียงด้วย

 

การเน้นว่า “I’m a big believer in tariffs.” และว่า ถ้าเขาชนะเลือกตั้งในครั้งนี้ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะยกระดับสงครามการค้ากับจีนให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยวางแผนจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นเป็นตั้งแต่ร้อยละ 60 ขึ้นไป นอกจากนี้เขายังจะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯสินค้าจากประเทศคู่ค้าทุกประเทศร้อยละ 10 และเน้นความตั้งใจจะเล่นงานอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจีน ทั้งนี้ Trump เชื่อว่าจะสามารถเป็นแรงบีบให้จีนเข้าไปลงทุนสร้างรถยนต์ในสหรัฐฯแทนที่การใช้เม็กซิโกเป็นแหล่งผลิตและเป็นเส้นทางส่งออกเข้าสหรัฐฯ เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

นโยบายและการทำงานของประธานาธิบดี Biden แสดงถึงความต้องการที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีน กีดขวางการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี่และการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เช่น คงมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของประธานาธิบดี Trump และจัดทำมาตรการเข้มงวดอื่นๆเพิ่มขึ้น เช่น การควบคุมการค้าสินค้าเทคโนโลยี่ระดับสูงกับจีน รวมถึงสินค้า semiconductors โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดี Biden จะไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ แต่ดูเหมือนมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแสวงหาแหล่งอุปทานทางเลือกอื่น เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และมีแนวคิดเดียวกับประธานาธิบดี Trump ในการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯจากรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่ปัจจุบันมีการผลิตในเม็กซิโกและเน้นบุกตลาดสหรัฐฯ

 

ภาคอุตสาหกรรมการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯเริ่มมองเห็นปัญหาที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นหากประธานาธิบดี Trump ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง รวมถึงความยากลำบากในการแสวงหาแหล่งอุปทาน และทำให้เกิดผลกระทบอย่างหนักในทางลบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคสหรัฐฯ

 

กระแสข่าวขณะนี้แสดงผลการสำรวจความเห็นของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่า ร้อยละ 40 มีแนวโน้มจะเลือกประธานาธิบดี Trump และร้อยละ 38 จะเลือกประธานาธิบดี Biden ทำให้หลายบริษัทเริ่มวางแผนตั้งรับในกรณีที่ประธานาธิบดี Trump ชนะเลือกตั้ง เช่น พิจารณาเพิ่มจำนวนแหล่งอุปทานขึ้นเป็นมากกว่าหนึ่งแห่งและเร่งหาแหล่งอุปทานทางเลือกอื่นจากจีนอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดี มีปัจจัยหลายประการที่สร้างเงื่อนไขทำให้สหรัฐฯยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าจีน จึงมีแนวโน้มสูงที่ธุรกิจสหรัฐฯหลายรายจะแสวงหาสินค้าจีนจากโรงงานจีนที่ย้ายฐานไปทำการผลิตในเม็กซิโก ในฐานะแหล่งอุปทาน nearshoring ธุรกิจสหรัฐฯเชื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่สามารถปิดช่องทางนี้ได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯคงไม่ต้องการเปิดศึกสองด้านกับทั้งจีนและเม็กซิโกแน่นอน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เริ่มต้นในสมัยประธานาธิบดี Trump ที่สินค้าจีนถูกเก็บภาษีนำเข้าเพียง

ระหว่างร้อยละ 15 – 20  ส่งผลให้ส่วนแบ่งของจีนในตลาดนำเข้าสหรัฐฯลดลงต่อเนื่องจากร้อยละ 18 เหลือประมาณร้อยละ 11 ในปัจจุบัน ยกระดับเม็กซิโกขึ้นเป็นแหล่งอุปทานนำเข้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯแทนที่จีนเป็นครั้งแรก และสร้างโอกาสเพิ่มขึ้นให้แก่หลายประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ดี หากสหรัฐฯยกระดับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็นร้อยละ 60 และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าทุกประเทศอีกร้อยละ 10 จริง มีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯและอาจจะหมายถึงของโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโอกาสของประเทศคู่ค้าอื่นรวมถึงประเทศไทยในการค้ากับสหรัฐฯ ดังนั้น จำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยต้องเฝ้าติดตามผลการเลือก ตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในครั้งนี้และวางแผนตั้งรับไว้แต่เนิ่นๆ

 

ที่มา: CNBC: “The planning for potential Trump win, new China Trade war and tariffs, has begun in the global supply chain.”, by Lori Ann LaRocco, March 11, 2024

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส มีนาคม 2567

thThai