เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายเรเยป ทายยิป แอรโดก์อาน ประธานาธิบดีของตุรกี ได้เข้าร่วมเป็นประธานในการแถลงผลประกอบการค้าระหว่างประเทศ ประจำปี 2566 โดยงานดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันของบรรดาผู้ส่งออกและนักธุรกิจชั้นนำของตุรกีที่ทุ่มเทความพยายามในการผลักดันให้สินค้าตุรกีเป็นที่รู้จักในตลาดโลก “เราได้ทำลายสถิติการส่งออกตั้งแต่ตั้งสาธารณรัฐมา โดยมีมูลค่าถึง 255,809 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566 เติบโตขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขดังกล่าวถือว่าทะลุเป้าที่ได้กำหนดไว้ในแผนระยะกลาง” ประธานาธิบดีแอรโดก์อาน ประกาศในงานดังกล่าว
“เราได้ทำลายสถิติการส่งออกนับตั้งแต่ตุรกีตั้งเป็นสาธารณรัฐมา ด้วยมูลค่าการส่งออกถึง 255,809 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” ประธานาธิบดีกล่าว “ในเดือนธันวาคม 2566 นั้น การส่งออกของเราแตะระดับ 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.44 สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 0.8 จุด เป็น ร้อยละ 70.7” เขากล่าวต่อ
สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ตุรกีกำลังเผชิญอยู่นั้น ประธานาธิบดีแอรโดก์อานได้กล่าวว่า “อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหกหรือเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมานั้น เกิดขั้นในทุกๆ ที่ ตั้งแต่ยุโรปไปจนถึงอเมริกา และยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึงแม้จะใช้มาตราการต่างๆ เข้ามาช่วยแล้วก็ตาม เรามีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหานี้เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับเลขตัวเดียว แต่ต้องระมัดระวังที่จะไม่ให้กระทบภาคการผลิต การจ้างงาน หรือแม้แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ” โดยเขายังกล่าวต่ออีกว่า “ด้วยมาตรการต่างๆ ที่เราได้ดำเนินการไปแล้วในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้เริ่มส่งผลให้บรรเทาอาการเงินเฟ้อลงบ้างแล้ว เมื่อกระบวนการต่างๆ ทั้งการปกป้องนักลงทุน การจ้างงาน ภาคการผลิต และการให้ความสำคัญกับผู้ส่งออกให้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสิ้นสุดลง เราจะหยุดปัญหาเงินเฟ้อนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากังกลใจรายวันของประชาชนของเราเหมือนแต่ก่อน”
ในส่วนของภาคธุรกิจบริการ จากคำแถลงของประธานาธิบดีแอรโดก์อานสรุปได้ว่าในปี 2566 มีมูลค่าถึง 99,254 ล้านเหรียญสหรัฐฯ “ตัวเลขการขาดดุลการค้าของเราลดลงถึงร้อยละ 3.2 โดยเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ 7 เดือนหลังของปีที่ผ่านมา และด้วยมูลค่าการส่งออกภาคบริการของเราที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 99,254 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้สามารถลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลงได้อย่างมากถึงขนาดที่ว่าในเดือนกันยายนและตุลาคมที่ผ่านมาตัวเลขบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการฟื้นตัวดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป”
ข้อคิดเห็นจากสำนักงานฯ
จากรายงานข่าวข้างต้นซึ่งถือเป็นหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในช่วงปีที่ผ่านมา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลตุรกีมีความกังวลในเรื่องการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศเป็นอย่างมาก และพยายามหาทางที่จะลดการขาดดุลการค้าของประเทศอยู่ตลอด โดยตุรกีมีนโยบายผลักดันด้านการพึ่งพาตนเองมานานแล้วซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตุรกีเร่งที่จะพัฒนาภาคการผลิตของตนในทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างอาวุธสงคราม เรือรบ เครื่องบินรบ เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียวโดยในปัจจุบันมีสินค้าแบรนด์ตุรกีหลายรายการที่เข้มแข็งได้รับความนิยมอยู่ทั้งในระดับภายในประเทศเองและส่งออกไปยังต่างประเทศทั้งในยุโรปและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม สำนักงานฯ มีความเห็นว่า การที่ตัวเลขมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของตุรกีเริ่มมีช่องว่างระหว่างการนำเข้ากับการส่งออกลดลงในปีที่ผ่านมานี้นอกจากจะมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของตุรกี และการพึ่งพาสินค้าที่ผลิตภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างมากโดยมีสาเหตุสำคัญมาจากอัตราค่าเงินลีร่าของตุรกีที่อ่อนค่าลงอย่างมากถึงกว่าร้อยละ 37 ในช่วงปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงได้อีกมาก ซึ่งสามารถมองได้ว่าน่าจะเป็นความจงใจของรัฐบาลเพื่อเป็นการกระตุ้นการส่งออกและบีบให้ลดการนำเข้าสินค้าลง ซึ่งอาจเป็นผลดีในระยะสั้นและในบางกลุ่มสินค้าที่ตุรกีสามารถผลิตเองได้ แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม รวมทั้งต้นทุนการผลิตสินค้าภายในประเทศเองเนื่องจากสินค้าประเภทวัตถุดิบในการผลิต หรือการนำเข้าสินค้าที่เป็นไปตามห่วงโซ่การผลิตก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องอัตราค่าเงินเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน โดยผลที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบันก็คืออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ และกำลังซื้อที่หดตัวลงของประชาชนในประเทศ ที่ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขด้วยการประกาศขึ้นเงินเดือนและอัตราค่าแรงขั้นต่ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยังไม่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้