1 . ภาพรวมเศรษฐกิจสำคัญ/ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
1.1 การเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 5.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 แต่หดตัวลงจากร้อยละ 7.6 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 โดยปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการเติบโตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ได้แก่ ภาคค้าส่งและค้าปลีก; การซ่อมแซมยานยนต์และจักรยานยนต์ขยายตัวร้อยละ 5.0 ภาคการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 9.5 ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 14.0 สำหรับภาคเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ภาคเกษตรกรรมป่าไม้และประมงขยายตัวร้อยละ 0.9 ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 5.5 และภาคการบริการขยายตัวร้อยละ 6.8 ในส่วนของด้านอุปสงค์พบว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 5.0 การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 2.6การนำเข้าสินค้าและบริการหดตัวร้อยละ 1.3 ในขณะที่ การใช้จ่ายของภาครัฐขยายตัวร้อยละ 6.7 และรายจ่ายเพื่อการสะสมทุนรวมเบื้องต้น (Gross Capital Formation) หดลงร้อยละ 1.6 สำหรับรายได้ประชาชาติ (Gross National Income) ขยายตัวร้อยละ 12.1 และรายได้ ปฐมภูมิ (Net Primary Income ) ขยายตัวร้อยละ 112.5
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566)
1.2 ภาวะการลงทุน
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ฟิลิปปินส์มีการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment: FI)มูลค่ารวม 2.73 หมึ่นล้าน เปโซ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 1.31 หมึ่นล้านเปโซ โดยเป็นการลงทุนผ่านหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน 6 หน่วยงาน ได้แก่
– Authority of the Freeport Area of Bataan (AFAB)
– Board of Investments (BOI)
– Clark Development Corporation (CDC)
– Cagayan Economic Zone Authority (CEZA)
– Philippine Economic Zone Authority (PEZA)
– Subic Bay Metropolitan Authority (SBMA)
– Zamboanga City Special Economic Zone Authority (ZAMBOECOZONE)
ทั้งนี้ การลงทุนจากต่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 พบว่าเป็นการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์มากที่สุดคิดเป็นมูลค่าการลงทุน 1.30 หมึ่นล้านเปโซ หรือคิดเป็นร้อยละ 47.8 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ไต้หวัน มีมูลค่าการลงทุน 3.63 พันล้านเปโซ คิดเป็นร้อยละ 13.3 และสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการลงทุน 3.06 พันล้านเปโซ คิดเป็นร้อยละ 11.2 สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุดคืออุตสาหกรรมการผลิต คิดเป็นร้อยละ 60.2 รองลงมาได้แก่ อุตสาหกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร(ร้อยละ 15.7) และอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 15.5) ตามลำดับ โดยผลจากการลงทุนในไตรมาสที่ 3ของปี 2566 ก่อให้เกิดการจ้างงาน 22,571 งาน หรือคิดเป็นร้อยละ 85.0 ของการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศทั้งหมด
1.3 การบริโภคภายในประเทศ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 5.0 ลดลงจากร้อยละ 8.0 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.5 โดยการใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีมูลค่ามากที่สุด อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านเปโซ ขยายตัวร้อยละ 0.4 รองลงมาได้แก่ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเชื้อเพลิง มีมูลค่า 553,861 ล้านเปโซ ขยายตัวร้อยละ 6.1 และสินค้าเบ็ดเตล็ดและบริการอื่นๆ มีมูลค่า 471,236 ล้านเปโซ ขยายตัวร้อยละ 5.2 ตามลำดับ
1.4 อัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 3.9 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 4.1 และอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.1ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในเดือนธันวาคม 2566 มีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าเชื้อเพลิงและ ราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ชะลอตัวลง รวมทั้งการหดตัวลงของราคาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านนันทนาการ กีฬา และวัฒนธรรม เครื่องใช้ในครัวเรือนและค่าบํารุงรักษาบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวและสินค้าเบ็ดเตล็ดและบริการอื่นๆ เป็นต้น
แผนภูมิ 1 – อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 จนถึงเดือนธันวาคม 2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
1.5 อัตราการจ้างงานและอัตราการว่างงาน
อัตราการจ้างงานในเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ร้อยละ 96.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2566 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 95.8 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่มีอัตราจ้างงานอยู่ที่ร้อยละ 95.8 สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ลดลงจากเดือนตุลาคม 2566 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 4.2 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 4.2
ตารางที่ 1 – สถิติด้านแรงงานของฟิลิปปินส์ในเดือนพฤศจิกายน 2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
2. สถานการณ์การค้า (การส่งออก-นำเข้า)
2.1 การส่งออก
การส่งออกของฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 มีมูลค่ารวม 67,034.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าส่งออก 73,178.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 8.4ตารางที่ 2 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์ โดยจำแนกตามประเภทของสินค้า และตารางที่ 3 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของประเทศฟิลิปปินส์จำแนกตามตลาด
ตารางที่ 2 – มูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์ แยกตามประเภทของสินค้าในเดือนมกราคม–พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
ตารางที่ 3 – มูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้าส่งออกหลักของประเทศฟิลิปปินส์ แยกตามตลาดในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
2.2 การนำเข้า
การนำเข้าของฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 116,013.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่า 126,900.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ -8.6 ตารางที่ 4 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์ โดยจำแนกตามประเภทของสินค้าและตารางที่ 5 แสดงถึงมูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์จำแนกตามแหล่งนำเข้าตารางที่ 4 – มูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์ แยกตามประเภทของสินค้าในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
ตารางที่ 5 – มูลค่าและอัตราการขยายตัวของสินค้านำเข้าหลักของฟิลิปปินส์ แยกตามแหล่งนำเข้าในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
2.3 มูลค่าการค้าระหว่างไทย – ฟิลิปปินส์
มูลค่าการค้ารวมของไทยกับฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 10,125.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่า 10,501.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.91 ของการค้าไทยไปทั่วโลกสำหรับการส่งออกจากไทยไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 7,266.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565ที่มีมูลค่า 6,940.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.78 ของการส่งออกไปทั่วโลก ในขณะเดียวกันไทยมีการนำเข้าจากฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 มูลค่า 2,859.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 19.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2565 ที่มีมูลค่านำเข้า 3,560.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.07 ของการนำเข้าจากทั่วโลก
สรุปการค้าระหว่างไทย – ฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 ปรากฏว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าฟิลิปปินส์ เป็นมูลค่า 4,407.00 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ตารางที่ 6 – สรุปการค้าระหว่างประเทศของไทยกับฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
2.4 การส่งออกสินค้าของไทยไปยังฟิลิปปินส์
เมื่อพิจารณาสินค้า 5 อันดับที่ไทยส่งออกไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 พบว่าสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 2,343.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 33.07 จากช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2565 รองลงมา ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า น้ำมันสำเร็จรูปน้ำตาลทราย และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ตามลำดับ
ตารางที่ 7 – การส่งออกสินค้า 5 อันดับของไทยไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
2.5 การนำเข้าของไทยจากฟิลิปปินส์
เมื่อพิจารณาการนำเข้าสินค้า 5 อันดับของไทยจากฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566พบว่า สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ มีมูลค่าสูงสุด 538.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 23.72จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 รองลงมา ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และ ตามลำดับ
ตารางที่ 8 – การนำเข้าสินค้า 5 อันดับของไทยจากฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565/2566
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เข้าถึงข้อมูลวันที่ 15 มกราคม 2567)
- สถานการณ์และภาวะสินค้าเป้าหมายของไทยในตลาดฟิลิปปินส์
แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยมายังฟิลิปปินส์ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 ประเภทสินค้าหลักของไทยที่มีการขยายตัวในการส่งออกมายังตลาดฟิลิปปินส์ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบน้ำมันสำเร็จรูป และ น้ำตาลทราย และ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว โดยสรุปข้อมูลสถานการณ์และภาวะสินค้าโดยสังเขป ดังนี้
3.1 รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
สถานการณ์ตลาดรถยนต์ของฟิลิปปินส์ส่งสัญญาณเชิงบวกตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน โดยยอดจำหน่ายรถยนต์ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาขับเคลื่อน อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าในปี 2566 ยอดจำหน่ายรถยนต์ในฟิลิปปินส์จะกลับมาเติบโตเกินกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกรถยนต์สำคัญของไทย และเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกมายังประเทศฟิลิปปินส์เป็นอันดับ 1 โดยสถานการณ์การส่งออกสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยมายังฟิลิปปินส์ขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในฟิลิปปินส์ โดยในปี 2566 (เดือนมกราคม-พฤศจิกายน) มีมูลค่า 2,343.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.07 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 1,761.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ในฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและสามารถเติบโตได้อีกมากจากปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนประชากรขนาดใหญ่ อัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งปัจจัยหนุนอื่นๆ ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการรถยนต์เพิ่มมากขึ้น
3.2 น้ำมันสำเร็จรูป
น้ำมันสำเร็จรูปถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง (เช่น เบนซิน น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซล เป็นต้น)ใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้า (เช่น น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา เป็นต้น) ใช้ในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี (เช่น LPG และแนฟทา เป็นต้น) ทั้งนี้ ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีแนวโน้มความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงภาคการขนส่ง ส่งผลให้ไทยสามารถขยายการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปมายังฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงค์จากการที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอันดับ 1 ของฟิลิปปินส์มีการควบคุมการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ทำให้ฟิลิปปินส์ต้องหันมานำเข้าจากแหล่งอื่นๆ ทดแทน โดยในปี 2566 (เดือนมกราคม-พฤศจิกายน) ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป มายังฟิลิปปินส์มูลค่า 421.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 58.59 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
3.3 น้ำตาลทราย
ฟิลิปปินส์สามารถผลิตน้ำตาลเพื่อบริโภคภายในประเทศ และน้ำตาลถือเป็นสินค้าอ่อนไหวที่มีการควบคุมการนำเข้าโดยการใช้มาตรการโควตาภาษี (Tariff-Rate Quotas: TRQs) แต่ฟิลิปปินส์จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำตาลในบางช่วงเวลาที่ขาดแคลนเพื่อทดแทนผลผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ ปัจจุบันฟิลิปปินส์กำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำตาล เนื่องจากอุปทายภายในประเทศตึงตัวจากผลผลิตที่ลดลงจากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เปิดโควตาให้มีการนำเข้าน้ำตาลปริมาณมากในปี 2566 เพื่อให้แน่ใจว่ามีอุปทานเพียงพอในตลาดและรักษาเสถียรภาพราคา ทั้งนี้ น้ำตาลของไทยถือเป็นที่ต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และ ขนม รวมทั้งเครื่องดื่ม เนื่องจากได้รับความน่าเชื่อถือในเรื่องคุณภาพมาตรฐาน โดยในปี 2566 (เดือนมกราคม – พฤศจิกายน) ไทยส่งออกน้ำตาลมาฟิลิปปินส์มูลค่า 366.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.70 จากช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าส่งออก 204.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
3.4 เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว
ความต้องการสินค้าประเภทเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดฟิลิปปินส์ โดยสินค้ากลุ่มดังกล่าวถือเป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่ไทยส่งออกมาฟิลิปปินส์โดยในปี 2566 (เดือนมกราคม-พฤศจิกายน) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิวของไทยมายังฟิลิปปินส์ขยายตัวร้อยละ 0.73 มีมูลค่า 267.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าส่งออก265.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ชาวฟิลิปปินส์มีแนวโน้มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้น รวมถึงการได้รับอิทธิพลจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านความงาม การดูแลผิวพรรณและการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามที่แตกต่างกันไป ทำให้สินค้าประเภทเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดส่งออกมายังฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในไตรมาสที่ 3/2566 ขยายตัวร้อยละ 5.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสที่ 2/2566 แต่ต่ำกว่าในไตรมาสที่ 3/2565 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.6 ทั้งนี้ ตัวเลขการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3/2566 ดังกล่าวนับเป็นการเติบโตแข็งแกร่งที่สุดและเหนือกว่าบรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียอื่นๆ เช่น เวียดนาม (ร้อยละ 5.3) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 4.9) จีน (ร้อยละ 4.9) และมาเลเซีย (ร้อยละ 3.3) เป็นต้น และส่งผลให้อัตราเติบโตของ GDP ของฟิลิปปินส์ปี 2566 ตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5.5 สำหรับ การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3/2566 ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง การใช้จ่ายของภาครัฐที่ดีขึ้น และแนวโน้ม การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 4/2566 เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง การเร่งการใช้จ่ายของรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง การฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกสินค้าไทยมายังตลาดฟิลิปปินส์คาดว่าจะสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ที่ดี โดยในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566การส่งออกของไทยมายังฟิลิปปินส์ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยนอกจากสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว แล้วยังมีสินค้าที่มีศักยภาพและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว มีมูลค่า 128.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 100.94) นมและผลิตภัณฑ์นม มีมูลค่า 69.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 16.57) สิ่งปรุงรสอาหาร มีมูลค่า 67.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 18.92) กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ มีมูลค่า 61.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 28.80) เครื่องตัดต่อและป้องกันวงจรไฟฟ้า มีมูลค่า 52.40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 14.68) ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์มีมูลค่า 44.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 25.16) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ มีมูลค่า 27.09ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 144.51) และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่า 22.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+ร้อยละ 90.50) เป็นต้น
——————————————————
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
15 มกราคม 2566