“พาณิชย์-DITP” เผยเครื่องสำอาง ร้านอาหาร มีโอกาสขยายตลาดในไต้หวัน
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) สำรวจพฤติกรรมการบริโภคของชาวไต้หวันในปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 พบนิยมบริโภคอาหารนอกบ้าน ชินชากับเงินเฟ้อ ยอมจ่ายเพื่อซื้อความสุข มีความต้องการ
ซื้อเครื่องสำอาง และออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ชี้เป็นโอกาสของเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ไทย
รวมถึงร้านอาหาร
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า
กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับรายงานจาก นางสาวกัลยา ลีวงศ์เจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ถึงแนวโน้มพฤติกรรม
การบริโภคของชาวไต้หวันในปี 2566 แนวโน้มในปี 2567 และโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าและบริการ
ของไทยเข้าสู่ตลาดไต้หวัน
โดยทูตพาณิชย์ ได้รายงานข้อมูลว่า iSURVEY บริษัทด้านการสำรวจตลาดชื่อดังของไต้หวัน
ได้ประกาศผลการสำรวจแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคของชาวไต้หวันในปี 2567 เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2566
ที่ผ่านมา พบว่า ผู้บริโภคชาวไต้หวันใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการรับประทานอาหารนอกบ้าน และรู้สึกชินชากับภาวะ
เงินเฟ้อ จนทำให้เกิดการบริโภคในแบบไม่คิดอะไรมากและยอมจับจ่ายเพื่อซื้อความสุขให้กับตัวเอง
และผู้บริโภคชาวไต้หวันยังมีการใช้จ่ายเพื่อการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ออกกำลังกายที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และคาดว่าพฤติกรรมการบริโภคในลักษณะนี้ จะยังคงต่อเนื่องไปในปี 2567
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลว่าผู้บริโภคชาวไต้หวัน มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเพื่อความงามของตัวเองมากขึ้น โดย iSURVEY เห็นว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเวลาประมาณ 3 ปี
ในปีนี้ผู้บริโภคได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติในการพบปะสังสรรค์มากขึ้น จนแทบไม่มีการรักษาระยะห่าง
ทางสังคมอีกต่อไป ส่งผลให้การใช้จ่ายเพื่อความงดงามส่วนบุคคลกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง โดยในปี 2566 ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินในการซื้อเครื่องสำอางโดยเฉลี่ย คิดเป็นมูลค่า 1,145 บาทต่อเดือน เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2565 ที่มีมูลค่า 1,096 บาทต่อเดือน และการออกกำลังกายและกิจกรรมสันทนาการกลางแจ้ง ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายหรือการแคมป์ปิง
ขณะเดียวกัน ในปี 2566 ผู้บริโภคมีการค้นหาสินค้าใกล้หมดอายุ และสินค้ามีตำหนิเพิ่มมากขึ้น
โดยร้อยละ 73 ของผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าใกล้หมดอายุที่มีการลดราคาในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง
ก่อนการเลือกซื้อสินค้าปกติ และมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ยินดีเปลี่ยนแบรนด์ที่เคยซื้อประจำ หากสามารถค้นพบสินค้าที่ทดแทนได้ในราคาที่ถูกกว่า แสดงให้เห็นว่า Brand Loyalty ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไต้หวัน เพราะหากได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ
หันไปซื้อสินค้าอื่นที่คิดว่าทดแทนกันได้
“แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคไต้หวัน ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับสินค้าและบริการของไทยที่มีศักยภาพในตลาดไต้หวัน ทั้งในส่วนของสินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยสินค้า
แบรนด์ไทยในไต้หวันกำลังเริ่มได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวไต้หวันมากขึ้น โดยมีแบรนด์ไทยเข้ามาวางจำหน่ายทาง Modern Trade ในไต้หวันประเภทร้าน Chain Store ยาและเครื่องสำอาง เช่น POYA, Cosmed, Watsons
เป็นต้น เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้ รวมถึงร้านอาหารไทยที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคไต้หวัน โดยมีแบรนด์ เช่นร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงในไต้หวัน ทั้งในส่วนที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นของไต้หวัน
เช่น Thai Town , Siam More หรือ A Do รวมไปจนถึง Chain ร้านอาหารจากไทย เช่น Nara ส้มตำเด้อ หรือบ้านผัดไทย
เป็นต้น” นายภูสิตกล่าว
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
(DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169
****************************************
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
มกราคม 2567