- ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญ
1.1 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer price index: CPI) ในเดือนพฤษภาคม 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.16 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.24 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ CPI เฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
1.2 ดัชนีภาวะเงินเฟ้อ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.33 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.33 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ ดัชนีภาวะเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
1.3 ดัชนีราคาทองคำ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.47 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.95 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ ดัชนีราคาทองคำเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.37 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
1.4 ดัชนีมูลค่าเงินเหรียญสหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.68 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.69 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ ดัชนีมูลค่าเงินเหรียญสหรัฐเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.35 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
- ภาคการเกษตร การป่าไม้ และประมง
ในเดือนพฤษภาคม 2568 การผลิตด้านเกษตรกรรมยังคงดำเนินไปตามฤดูกาล โดยภาคเหนือมุ่งเน้นการดูแลต้นข้าวฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ ส่วนภาคใต้เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวข้าวและพืชไร่ในฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกับเริ่มเพาะปลูกข้าวฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง ด้านปศุสัตว์การเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีกยังคงเติบโตได้ดี ส่วนภาคป่าไม้มีการปลูกป่าและปริมาณการตัดไม้ตามแผนที่กำหนด สำหรับภาคการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีความมั่นคง และการทำประมงในทะเลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ฤดูจับปลาทางภาคใต้
2.1 ภาคการเกษตร
1. ข้าว พื้นที่เพาะปลูกข้าวของเวียดนามในช่วงฤดูหนาว 2567 – ฤดูใบไม้ผลิ 2568 มีจำนวนรวม 2.97 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้น 17,000 เฮกตาร์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566-2567 โดยเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวในภาคเหนือจำนวน 1.05 ล้านเฮกตาร์ ลดลง 7,700 เฮกตาร์ เนื่องจากมีการเวนคืนที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ขณะที่ภาคใต้มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวจำนวน 1.92 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้น 24,700 เฮกตาร์ โดยเฉพาะเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีถึง 1.51 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้น 20,600 เฮกตาร์ อันเป็นผลจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและไม่มีปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็ม ทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้เต็มพื้นที่
ในเดือนพฤษภาคม 2568 ภาคใต้ได้เก็บเกี่ยวข้าวฤดูหนาว 2567 – ฤดูใบไม้ผลิ 2568 ไปแล้ว 1.88 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นร้อยละ 98.0 ของพื้นที่ที่เพาะปลูก โดยเฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมีการเก็บเกี่ยวแล้วถึง 1.51 ล้านเฮกตาร์ หรือร้อยละ 100 ของพื้นที่ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ภาคใต้ได้เริ่มปลูกข้าวในช่วงฤดูร้อน – ฤดูใบไม้ร่วงแล้วจำนวน 1.26 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงซึ่งมีถึง 1.16 ล้านเฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 โดยปีนี้มีฝนตกในวงกว้างและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้เกษตรกรสามารถลงมือเพาะปลูกได้เร็วขึ้น จังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างมากได้แก่ จังหวัดเกียนยาง (Kien Giang) มีอัตราการปลูกเพิ่มขึ้น 50,800 เฮกตาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จังหวัดบากเลียว (Bac Lieu) เพิ่มขึ้น 35,600 เฮกตาร์ จังหวัดจ่าวินห์ (Tra Vinh) เพิ่มขึ้น 23,100 เฮกตาร์ และจังหวัดซ็อกจัง (Soc Trang) เพิ่มขึ้น 17,000 เฮกตาร์
2. พืชผลประจำปี ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดจำนวน 435,100 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พื้นที่เพาะปลูกมันเทศจำนวน 48,000 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 5.2 เฮกตาร์ พื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลืองจำนวน 11,400 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 4 พื้นที่เพาะปลูกถั่วลิสงจำนวน 98,400 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 3.2 และพื้นที่เพาะปลูกผักและถั่วต่าง ๆ จำนวน 619,200 เฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ทั้งนี้ พื้นที่ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และมันเทศลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจไม่สูงนัก
3. ปศุสัตว์ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปริมาณการเลี้ยงกระบือลดลง โดยจํานวนกระบือลดลงร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ พื้นที่สำหรับเลี้ยงปล่อยมีแนวโน้มลดลง และระยะเวลาเลี้ยงนาน จึงไม่จูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงซ้ำ ขณะที่ปริมาณการเลี้ยงโคลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยจํานวนโคลดลงร้อยละ 0.4 ในทางกลับกัน การเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีกมีการเติบโตในระดับที่ดี โดยจํานวนสุกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และจํานวนสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เนื่องจากสามารถควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและราคาจำหน่ายยังอยู่ในระดับที่เกษตรกรมีกำไร ตลาดการบริโภคภายในประเทศมีเสถียรภาพ และมีนโยบายสนับสนุน เช่น การช่วยเหลือด้านพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีความต้องการในการขยายการเลี้ยงและเพิ่มจำนวนสัตว์เลี้ยง
2.2 ภาคการป่าไม้
ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีพื้นที่ป่าที่เพิ่งปลูกใหม่ทั่วประเทศประมาณ 34,300 เฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยผลผลิตไม้ที่ได้รับการแปรรูปมีจํานวน 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 และมีพื้นที่ป่าที่เสียหายประมาณ 122.3 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 40.3
ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) คาดว่าจะมีพื้นที่ป่าที่เพิ่งปลูกใหม่ประมาณ 113,700 เฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ผลผลิตไม้ที่ได้รับการแปรรูปมีจํานวน 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 และมีพื้นที่ป่าที่เสียหายประมาณ 603,800 เฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 7.4
2.3 ภาคการประมง
ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปริมาณผลผลิตจากภาคประมงทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 828,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ประกอบด้วยปลาจำนวน 591,900 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 กุ้งจำนวน 117,100 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 และสัตว์น้ำอื่น ๆ จำนวน 119,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 สำหรับผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอยู่ที่ประมาณ 455,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ประกอบด้วยปลาจำนวน 301,100 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 กุ้งจำนวน 103,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ขณะที่ผลผลิตจากการทำประมงธรรมชาติอยู่ที่ประมาณ 373,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ประกอบด้วยปลาจำนวน 290,800 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 กุ้งจำนวน 13,900 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 และสัตว์น้ำอื่น ๆ จำนวน 68,300 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9
ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ปริมาณผลผลิตจากภาคการประมงคาดว่าจะมีปริมาณ 3.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ประกอบด้วยปลาจำนวน 2.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 กุ้งจำนวน 429,800 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และสัตว์น้ำอื่น ๆ จำนวน 544,300 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8
- ภาคอุตสาหกรรม
3.1 ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 อุตสาหกรรมการจัดการน้ำ การจัดการบำบัดขยะและน้ำเสียขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 อุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ขณะที่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 อุตสาหกรรมการจัดการน้ำ การจัดการบำบัดขยะและน้ำเสียขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 อุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ส่วนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ลดลงร้อยละ 3.4 สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ได้แก่ การผลิตยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3 การผลิตเครื่องหนังและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 และการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 ในทางกลับกัน บางกลุ่มอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง ได้แก่ การขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติลดลงร้อยละ 8.8 การผลิตยา เคมีภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ ลดลงร้อยละ 6.1 และการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าลดลงร้อยละ 3.5
3.2 จำนวนแรงงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรม ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 เมื่อพิจารณาตามประเภทกิจกรรม แรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 อุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และเครื่องปรับอากาศ (คงที่/+0.8%) อุตสาหกรรมเหมืองแร่ (+0.4%/-0.1%) และอุตสาหกรรมการจัดการน้ำการจัดการบำบัดขยะและน้ำเสีย (+0.1%/+1.5%)
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเวียดนามในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2568
หน่วย: %
เม.ย. 2568 เทียบกับเม.ย. 2567 |
พ.ค. 2568 เทียบกับพ.ค. 2567 |
พ.ค. 2568 เทียบกับ เม.ย. 2568 |
ม.ค. – พ.ค. 2568 เทียบกับ ม.ค. – พ.ค. 2567 |
|
รวม | 109.6 | 109.4 | 104.3 | 108.8 |
การทำเหมืองแร่และเหมือง | 95.3 | 101.2 | 107.2 | 96.6 |
ถ่านหินและลิกไนต์ | 108.2 | 100.9 | 103.7 | 105.1 |
น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ | 88.9 | 99.4 | 108.8 | 91.2 |
แร่โลหะ | 93.6 | 97.7 | 98.8 | 101.7 |
การทำเหมืองแร่อื่นๆ | 108.4 | 109.0 | 102.6 | 106.7 |
กิจกรรมบริการที่สนับสนุนการทำเหมืองแร่ | 76.5 | 105.8 | 126.9 | 89.7 |
การผลิตสินค้า | 112.3 | 111.0 | 103.8 | 110.8 |
สินค้าอาหาร | 111.0 | 109.5 | 103.7 | 108.8 |
เครื่องดื่ม | 104.6 | 106.2 | 106.0 | 100.9 |
ยาสูบ | 108.8 | 109.7 | 98.5 | 104.8 |
สิ่งทอ | 109.6 | 110.1 | 103.5 | 110.0 |
เสื้อผ้า | 115.8 | 118.1 | 104.4 | 115.7 |
หนังและสินค้าที่เกี่ยวข้อง | 116.8 | 113.7 | 104.2 | 116.8 |
การแปรรูปไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ ยกเว้นเฟอร์นิเจอร์ และการผลิตผลิตภัณฑ์หัตถกรรม | 108.5 | 107.6 | 97.4 | 112.6 |
กระดาษและผลิตภัณฑ์จากกระดาษ | 105.6 | 106.1 | 101.4 | 107.4 |
การพิมพ์และการทำสำเนาสื่อบันทึก | 108.8 | 104.0 | 101.4 | 105.2 |
ผลิตภัณฑ์ถ่านโค้กและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม | 149.6 | 105.0 | 106.1 | 112.4 |
เคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี | 109.0 | 109.1 | 104.8 | 106.2 |
ยาและผลิตภัณฑ์ทางพฤกษศาสตร์ | 92.5 | 89.8 | 103.5 | 93.9 |
ผลิตภัณฑ์จากยางพาราและพลาสติก | 116.3 | 117.2 | 105.9 | 116.1 |
ผลิตภัณฑ์แร่โลหะอื่นๆ | 112.4 | 120.3 | 101.1 | 111.3 |
โลหะพื้นฐาน | 120.8 | 119.9 | 106.6 | 110.1 |
ผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์ (ยกเว้นเครื่องจักรและอุปกรณ์) | 116.2 | 112.6 | 105.3 | 111.2 |
คอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ | 108.5 | 108.3 | 103.8 | 109.6 |
อุปกรณ์ไฟฟ้า | 96.9 | 90.6 | 102.7 | 96.5 |
เครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ | 106.3 | 102.1 | 98.2 | 105.8 |
ยานยนต์ | 130.3 | 127.1 | 100.8 | 134.3 |
ยานพาหนะการขนส่ง ชิ้นส่วน อุปกรณ์และส่วนประกอบ | 106.6 | 136.6 | 100.2 | 114.1 |
เฟอร์นิเจอร์ | 98.2 | 132.4 | 105.2 | 112.8 |
การผลิตสินค้าอื่นๆ | 109.6 | 105.9 | 103.2 | 108.1 |
ซ่อม บำรุง รักษา และติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ | 110.0 | 129.7 | 121.8 | 115.4 |
การผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า | 102.3 | 103.3 | 105.9 | 104.2 |
การผลิตน้ำประปาและการกำจัดของเสีย | 105.4 | 111.3 | 104.4 | 110.0 |
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (General Statistics Office of Vietnam: GSO)
- การดำเนินธุรกิจ
ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ จำนวน 15,136 แห่ง ลดลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยมีทุนจดทะเบียนมูลค่า 156,715 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 6,027 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ทั้งนี้ มีธุรกิจที่กลับมาดำเนินการใหม่ จำนวน 8,017 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ธุรกิจที่จดทะเบียนขอหยุดดำเนินการชั่วคราว จำนวน 5,924 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ธุรกิจที่หยุดดำเนินการรอการชำระบัญชี จำนวน 6,535 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.6 และธุรกิจที่ปิดกิจการ จำนวน 1,909 แห่ง ลดลงร้อยละ 12.8
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ จำนวน 66,764 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยมีทุนจดทะเบียนมูลค่า 647,111 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 24,888 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ทั้งนี้ มีธุรกิจที่กลับมาดำเนินการใหม่ จำนวน 45,048 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.2 ธุรกิจที่จดทะเบียนขอหยุดดำเนินการชั่วคราว จำนวน 74,554 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 ธุรกิจที่หยุดดำเนินการรอการชำระบัญชี จำนวน 27,517 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 และธุรกิจที่ปิดกิจการ จำนวน 9,554 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7
- ภาคการลงทุน
5.1 การลงทุนของภาครัฐ ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีการลงทุนจากภาครัฐ มูลค่า 55,353 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 2,128 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) เวียดนามมีการลงทุนจากภาครัฐมูลค่าประมาณ 221,823 ล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 8,531 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
5.2 ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในเวียดนาม
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีการเบิกจ่ายจริงในเวียดนามในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) มีมูลค่า 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ในจำนวนนี้ อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปมีมูลค่าการลงทุน 7,260 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 81.6 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่า 703.8 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 7.9 การผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้า, ก๊าซ, น้ำร้อน, ไอน้ำ และเครื่องปรับอากาศมีมูลค่า 352.0 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 4.0
FDI ในเวียดนามจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 มีมูลค่า 18,390 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดย FDI ที่ลงทะเบียนใหม่จำนวน 1,549 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 7,020 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 ในส่วนของประเทศผู้ลงทุน สิงคโปร์เป็นนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดด้วยมูลค่าการลงทุน 2,116 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 30.2 ของมูลค่า FDI ที่ลงทะเบียนใหม่ รองลงมาคือ จีน 1,812 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 25.8 และญี่ปุ่น 753.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 10.7 ส่วนประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 14 มูลค่า 46.4 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ FDI ที่ปรับเพิ่มมูลค่าการลงทุน มีจำนวน 647 โครงการ เพิ่มทุนการลงทุนรวม 8,520 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.4 เท่า และ FDI ที่ซื้อหุ้นและเพิ่มทุนในบริษัทของเวียดนาม มีจำนวน 1,358 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 2,850 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 82.9
FDI โครงการใหม่ที่ได้รับอนุญาตในเวียดนามตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2568
โครงการใหม่
(จำนวน) |
มูลค่าของโครงการใหม่
(ล้านเหรียญสหรัฐ) |
มูลค่าของโครงการที่ปรับขึ้นมูลค่าลงทุน
(ล้านเหรียญสหรัฐ) |
|
รวม | 1,549 | 7,015.1 | 8,519.2 |
จังหวัดที่ได้รับการลงทุน | |||
Bac Ninh | 129 | 671.7 | 2,090.4 |
Hai Phong | 73 | 669.0 | 70.2 |
Ha Nam | 33 | 552.4 | 311.8 |
Dong Nai | 55 | 520.1 | 908.0 |
Ho Chi Minh City | 606 | 516.1 | 400.2 |
Hung Yen | 31 | 416.2 | 44.0 |
Ba Ria – Vung Tau | 20 | 410.0 | 535.2 |
Thai Binh | 34 | 360.7 | 29.4 |
Tay Ninh | 10 | 290.0 | 138.8 |
Long An | 67 | 239.7 | 121.4 |
Binh Duong | 109 | 220.8 | 61.2 |
Can Tho | 1 | 216.1 | 5.6 |
Ha Noi | 151 | 209.8 | 2,775.2 |
Binh Phuoc | 26 | 208.3 | 57.5 |
Hai Duong | 27 | 186.7 | 129.6 |
Quang Ninh | 9 | 141.9 | 51.8 |
Thanh Hoa | 4 | 140.2 | 52.9 |
Tuyen Quang | 2 | 135.3 | – |
Nam Dinh | 10 | 125.2 | 99.2 |
Thai Nguyen | 8 | 114.1 | 134.4 |
จังหวัดอื่นๆ | 144 | 670.8 | 502.5 |
ประเทศที่เข้าลงทุน | |||
Singapore | 219 | 2,116.1 | 1,121.7 |
China | 453 | 1,812.8 | 287.7 |
Japan | 117 | 753.4 | 999.8 |
Special Administration Hong Kong | 196 | 607.6 | 400.0 |
Taiwan | 81 | 412.4 | 334.8 |
Virgin Islands (UK) | 13 | 260.8 | 219.3 |
South Korea | 151 | 196.4 | 2,458.8 |
The United States | 48 | 169.7 | -93.8 |
Samoa | 20 | 100.2 | 40.6 |
Denmark | 4 | 71.1 | – |
Luxembourg | 1 | 70.9 | – |
Cayman Islands | 4 | 70.4 | 322.7 |
Netherlands | 10 | 55.7 | 20.4 |
Thailand | 14 | 46.4 | 468.4 |
Seychelles | 10 | 38.0 | 23.6 |
Germany | 14 | 37.6 | 7.1 |
The United Kingdom | 19 | 32.9 | 129.3 |
France | 16 | 31.3 | 9.7 |
Laos | 1 | 30.3 | – |
Canada | 16 | 30.3 | 0.5 |
ประเทศอื่นๆ | 142 | 70.7 | 1,768.6 |
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม
5.3 เวียดนามลงทุนในต่างประเทศ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) เวียดนามลงทุนในต่างประเทศรวมมูลค่า 317.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยมีโครงการใหม่ที่ได้รับใบรับรองการลงทุนจำนวน 46 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 275.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น7 เท่า และมีโครงการที่ปรับเพิ่มทุนจำนวน 13 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนเพิ่ม 41.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8
ทั้งนี้ มี 24 ประเทศที่ได้รับการลงทุนจากเวียดนาม โดยสปป.ลาว เป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนสูงสุด มูลค่า 145.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 46.0 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด รองลงมาคืออินโดนีเซีย 59.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 18.6 และฟิลิปปินส์ 34.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 10.8
- การค้า และการนำเข้า-ส่งออก
6.1 การขายปลีกสินค้าและบริการ
ในเดือนพฤษภาคม 2568 การขายปลีกของสินค้าและบริการมีมูลค่า 575 ล้านล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 22,113 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) การขายปลีกของสินค้าและบริการมีมูลค่า 2,851 ล้านล้านเวียดนามด่งหรือประมาณ 109,670 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยการขายปลีกของสินค้ามีมูลค่า 2,182 ล้านล้านเวียดนามด่งหรือประมาณ 83,934 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ธุรกิจบริการที่พักและร้านอาหารมีมูลค่า 340 ล้านล้านเวียดนามด่งหรือประมาณ 13,090 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 การท่องเที่ยวมีมูลค่า 38 ล้านล้านเวียดนามด่งหรือประมาณ 1,475 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 และการบริการอื่น ๆ มีมูลค่า 290 ล้านล้านเวียดนามด่งหรือประมาณ 11,170 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9
ยอดขายปลีกสินค้าและบริการเวียดนามในเดือนพฤษภาคม 2568
หน่วย: พันล้านเวียดนามด่ง
พ.ค. 2568 | ม.ค. – พ.ค. 2568 | พ.ค. 2568 เทียบกับ พ.ค. 2567 (%) | ม.ค. – พ.ค. 2568 เทียบกับ ม.ค. – พ.ค. 2567 (%) | ||
มูลค่ารวม | โครงสร้าง (%) | ||||
รวม | 574,946 | 2,851,438 | 100.0 | 110.2 | 109.7 |
ยอดขายปลีกสินค้า | 436,425 | 2,182,298 | 76.5 | 108.0 | 108.2 |
ธุรกิจบริการที่พักและอาหาร | 71,447 | 340,344 | 11.9 | 119.1 | 115.2 |
การท่องเที่ยว | 8,577 | 38,363 | 1.4 | 135.0 | 124.7 |
บริการอื่นๆ | 58,497 | 290,433 | 10.2 | 114.3 | 112.9 |
ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม
6.2 การนำเข้าสินค้า
ในเดือนพฤษภาคม 2568 เวียดนามนำเข้าสินค้ามูลค่า 39,040 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 โดยการนำเข้าของบริษัทเวียดนาม มีมูลค่า 10,860 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 25.0 และเป็นการนำเข้าของบริษัทต่างชาติในเวียดนาม มีมูลค่า 28,190 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) เวียดนามนำเข้าสินค้ามูลค่า 175,560 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยเป็นการนำเข้าของบริษัทเวียดนามมีมูลค่า 62,040 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 และเป็นการนำเข้าของบริษัทต่างชาติในเวียดนาม มีมูลค่า 113,520 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 ทั้งนี้ จีนเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มูลค่า 69,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
กลุ่มสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ กลุ่มวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า มูลค่า 164,750 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 93.8 และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มูลค่า 10,810 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.2
6.3 การส่งออกสินค้า
ในเดือนพฤษภาคม 2568 เวียดนามส่งออกสินค้ามูลค่า 39,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 โดยเป็นการส่งออกจากภาคการผลิตเพื่อส่งออกของเวียดนามมูลค่า 8,610 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 26.1 ภาคการผลิตเพื่อส่งออกของบริษัทต่างชาติในเวียดนาม มูลค่า 30,990 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) เวียดนามส่งออกสินค้า มูลค่า 180,230 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยเป็นการส่งออกจากภาคการผลิตเพื่อส่งออกของเวียดนามมูลค่า 49,620 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 และจากภาคการผลิตเพื่อส่งออกของบริษัทต่างชาติในเวียดนาม มูลค่า 130,610 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มูลค่า 57,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
กลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมแปรรูป มูลค่า 158,930 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 88.2 กลุ่มสินค้าเกษตรและป่าไม้ มูลค่า 15,880 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.8 กลุ่มผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ มูลค่า 4,210 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.3 และกลุ่มสินค้าเชื้อเพลิงและแร่ธาตุ มูลค่า 1,210 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.7
- ดุลการค้า
ในเดือนพฤษภาคม 2568 เวียดนามเกินดุลการค้า มูลค่า 560 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามูลค่า 12,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568 เกินดุลการค้ากับสหภาพยุโรปมูลค่า 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 17.1 เกินดุลการค้ากับญี่ปุ่นมูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 50.0 ในขณะเดียวกัน เวียดนามขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่า 10,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ขาดดุลการค้ากับเกาหลีใต้มูลค่า 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 และขาดดุลการค้ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียนมูลค่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 31.3
ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – พฤษภาคม) เวียดนามเกินดุลการค้า มูลค่า 4,670 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามูลค่า 49,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 เกินดุลการค้ากับสหภาพยุโรปมูลค่า 16,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 เกินดุลการค้ากับญี่ปุ่นมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.8 ในขณะเดียวกัน เวียดนามขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่า 45,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.3 ขาดดุลการค้ากับเกาหลีใต้มูลค่า 12,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 และขาดดุลการค้ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียนมูลค่า 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.3