นโยบายผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

ภายใต้นโยบายอพยพคนเข้าเมืองผิดกฏหมายที่เข้มงวดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและจำนวนแรงงานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ นักเศรษฐศาสตร์จากหลากหลายสถาบันชั้นนำของประเทศเตือนตรงกันว่า ในปี 2025 อาจเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่สหรัฐฯ มีจำนวนผู้อพยพออกจากประเทศมากกว่าผู้ที่เดินทางเข้ามา (net negative migration) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายควบคุมพรมแดนแบบเคร่งครัด ปิดกั้นช่องทางการเข้าเมืองแม้โดยชอบด้วยกฎหมาย และเร่งเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฏหมายออกจากประเทศ

การดำเนินนโยบายดังกล่าวไม่เพียงจำกัดอยู่ที่การปิดพรมแดนทางใต้ของประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยกเลิกวีซ่าของนักศึกษาต่างชาติ การเพิกถอนสถานะคุ้มครองชั่วคราวของแรงงานจากประเทศต่างๆ เช่น เฮติ คิวบา และเวเนซุเอลา ตลอดจน การบุกตรวจค้นสถานที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานต่างชาติ เช่น การเกษตร โรงแรม และร้านอาหาร รวมถึง การเสนอร่างกฎหมายเพิ่มงบประมาณที่เร่งการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองเป็นกว่า 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้การเนรเทศชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นไปอย่างเร่งด่วน

ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ที่ผ่านมา จำนวนแรงงานต่างด้าวในสหรัฐฯ (แรงงานที่เกิดในต่างประเทศ) ลดลงมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปี 2024 ซึ่งปี 2024 นับเป็นปีที่มีการไหลเข้าของแรงงานต่างชาติเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการวิเคราะห์ของธนาคาร Wells Fargo พบว่า จำนวนแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานลดลงเฉลี่ย 150,000 คนต่อเดือนในช่วงสี่เดือนล่าสุด (ก.พ. – พ.ค. 2025) ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นจำนวนแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 186,000 คนต่อเดือน

นโยบายผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สัดส่วนของแรงงานต่างชาติในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ขยับขึ้นเป็น 19% จากเดิม 11% โดยแรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าและสามารถทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ต้องการแรงงานแบบเร่งด่วน เช่น การก่อสร้าง เกษตรกรรม และการบริการ แนวโน้มการลดลงของแรงงานกลุ่มนี้จึงส่งผลต่อโครงสร้างตลาดแรงงานโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่ชาวอเมริกันโดยกำเนิดจำนวนมากเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณและประชากรวัยแรงงานที่เกิดในประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้า

นโยบายผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีจำนวนผู้อพยพมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา แรงงานผู้อพยพคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักอย่างภาคการผลิต (มีแรงงานต่างชาติ 44%) และการก่อสร้าง (มีแรงงานต่างชาติ 40%) ขณะเดียวกัน แรงงานต่างชาติยังมีบทบาทสำคัญในภาคบริการ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งแรงงานต่างชาติกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของแรงงานทั้งหมดในภาคบริการ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสถาบันวิจัย Pew Research Center พบว่า 17% ของแรงงานในแคลิฟอร์เนียหรือประมาณ 1.8 ล้านคนเป็นผู้ที่ไม่มีเอกสาร และในจำนวนนี้กว่า 1.4 ล้านคนไม่มีสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย และไม่เป็นผู้อพยพภายใต้โครงการ DACA (โครงการคุ้มครองลูกหลานของผู้อพยพที่เข้าเมืองผิดกฏหมาย) หรือภายใต้กระบวนการขอลี้ภัยด้วย ส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงในการถูกเนรเทศ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจ

นโยบายผู้อพยพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

แม้นโยบายการปราบปรามผู้อพยพจะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางกลุ่ม แต่การดำเนินการที่ขาดการพิจารณารอบด้านอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ศาสตราจารย์จิโอวานนี เปรี จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส เตือนว่า แรงงานผู้อพยพคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ การขาดแคลนแรงงานเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจไม่สามารถขยายกิจการได้ และจำกัดโอกาสในการสร้างงานให้แก่แรงงานชาวอเมริกันโดยกำเนิด นอกจากนี้ ในรายงานของศูนย์วิจัยทางเศรษฐศาสตร์และประเด็นทางสังคม จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลูเธอรัน ยังระบุด้วยว่า แรงงานที่ไม่มีเอกสารมีส่วนสร้างงานเพิ่มเติมในรัฐแคลิฟอร์เนียมากกว่า 1.25 ล้านตำแหน่ง

แม้จะมีข้อถกเถียงในประเด็นค่าใช้จ่ายด้านบริการสาธารณะที่รัฐต้องแบกรับ แต่ข้อมูลจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (Congressional Budget Office) ชี้ว่า ระหว่างปี 2024–2034 ผู้อพยพจะเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลกลางมากกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลระดับท้องถิ่นและมลรัฐอาจเพิ่มขึ้น แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวมยังถือว่าเป็นบวก แม้แรงงานไร้เอกสารที่ไม่มีสิทธิ์รับสวัสดิการจากรัฐแต่ก็ยังมีส่วนในการจ่ายภาษี โดยข้อมูลจากสถาบัน Institute on Taxation and Economic Policy ระบุว่า ในปี 2022 แรงงานกลุ่มนี้จ่ายภาษีให้กับรัฐบาลกลางและรัฐท้องถิ่นรวมกว่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะแสดงจุดยืนเข้มงวดด้านนโยบายผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฏหมาย แต่เริ่มส่งสัญญาณถึงการผ่อนคลายบางมาตรการ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “เกษตรกรและผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรมและบริการต่างบอกว่านโยบายเข้มงวดของเรากำลังพรากแรงงานที่ดีและอยู่มานานไปจากพวกเขา และตำแหน่งเหล่านั้นแทบจะหาคนมาแทนไม่ได้เลย การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น”

แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในทันที นายคริสโตเฟอร์ ธอร์นเบิร์ก นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Beacon Economics เตือนว่า หากนโยบายจำกัดการอพยพเข้าเมืองมีแนวโน้มดำเนินต่อไป อาจทำให้แรงงานต่างชาติจำนวนมากลังเลที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ในอนาคต และหากตลาดแรงงานตึงตัวต่อเนื่อง ในระยะสั้นอาจส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นจากความพยายามของนายจ้างในการดึงดูดแรงงาน แต่ในภาพรวมจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าจ้างและต้นทุนการผลิต ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างราคาสินค้าในประเทศ ขณะเดียวกัน หากภาคธุรกิจหันไปนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมากขึ้น ก็จะขัดแย้งกับนโยบายด้านภาษีสินค้านำเข้าของรัฐบาลที่พยายามส่งเสริมการผลิตในประเทศ

นักวิเคราะห์จึงชี้ว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถสร้างสมดุลระหว่างนโยบายตรวจคนเข้าเมืองกับความต้องการแรงงานในตลาด แรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาวะขาดแคลนแรงงาน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวได้

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ข้อมูลอ้างอิง Washington Post, USA Today, Investopedia

thThai