ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากสงคราม เงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ เยอรมนีในฐานะผู้นำเศรษฐกิจของยุโรปได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัวแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวมูลค่ากว่า 500,000 ล้านยูโรภายในเวลา 12 ปีข้างหน้า เป้าหมายของแผนนี้คือการยกระดับระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล และผลักดันประเทศเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียวที่ยั่งยืนในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อภายในประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงห่วงโซ่การค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเยอรมนีอย่างต่อเนื่องและมั่นคง หากไทยสามารถจับจังหวะและวางกลยุทธ์ให้ดี ก็อาจเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในยุคใหม่ของความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้
เยอรมนีสร้างอะไร ทำไมถึงเป็นโอกาสระดับโลก
โครงการลงทุนยักษ์ของเยอรมนีนี้ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายด้าน โดยในปี 2025 เพียงปีเดียว รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณกว่า 10,500 ล้านยูโรเพื่อยกระดับระบบรถไฟทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการลดการพึ่งพารถยนต์และการปล่อยคาร์บอนจากภาคขนส่ง นอกจากนี้ ยังมีแผนฟื้นฟูสะพานและถนนที่ชำรุดทั่วประเทศ พร้อมกับเร่งขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโครงสร้าง 5G เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล
ที่สำคัญคือ แผนนี้ยังเน้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตเหล็กด้วยไฮโดรเจน รถยนต์ไฟฟ้า และโครงข่ายพลังงานสะอาดทั้งหมด เยอรมนีจึงไม่ได้เพียงซ่อมแซมอดีต แต่กำลังสร้างอนาคตของตัวเองอย่างมีวิสัยทัศน์
รัฐบาลยังได้ปรับแก้ “กฎเบรกหนี้” ที่เคยจำกัดการกู้ยืมเพื่อเปิดทางให้สามารถลงทุนได้มากขึ้นในเรื่องที่มีผลต่อยุทธศาสตร์ของชาติ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และการป้องกันประเทศ
ไทยอยู่ตรงไหนในภาพนี้
คำถามที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยจะมีบทบาทอะไรในแผนยักษ์ของเยอรมนีบ้าง โอกาสของไทยมีอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะในฐานะประเทศผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ ประเทศต้นแบบในเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และประเทศที่กำลังผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลและสีเขียวอย่างจริงจัง
ประการแรกคือภาคการผลิตและส่งออก ไทยสามารถส่งออก วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนเครื่องจักร และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ใช้ในระบบขนส่ง รางรถไฟ อาคารสาธารณะ และงานวิศวกรรมโครงสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งดั้งเดิมของภาคอุตสาหกรรมไทย ในปี 2023 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มเครื่องจักรและชิ้นส่วนไปยังเยอรมนีเป็นมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงที่แข็งแรงอยู่แล้ว
ต่อมา คือภาคบริการดิจิทัล ปัจจุบันบริษัทเยอรมันจำนวนมากโดยเฉพาะ SMEs กำลังมองหา Outsourcing Partner ที่มีทักษะดี ราคาไม่สูง และสามารถพัฒนา ซอฟต์แวร์ ระบบ UX/UI แอปพลิเคชัน หรือ IoT Solutions ได้ ซึ่งประเทศไทยสามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสตาร์ทอัพไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอย่าง DEPA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) ที่วางเป้าหมายการขยายสู่ตลาดยุโรปไว้อย่างชัดเจน
สุดท้ายคือภาคนวัตกรรมสีเขียว แผนของเยอรมนีจะไม่สมบูรณ์หากขาดผู้เชี่ยวชาญหรือซัพพลายเออร์ด้านวัสดุชีวภาพ พลังงานสะอาด และระบบหมุนเวียน ซึ่งประเทศไทยเองก็กำลังเดินหน้าภายใต้นโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่ผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ไทยควรเตรียมตัวอย่างไร
โอกาสที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายเช่นกัน หากไทยต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนการลงทุนของเยอรมนี ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในเชิงคุณภาพและมาตรฐาน
สิ่งแรกที่ต้องตระหนักคือ มาตรฐานของ EU ที่เข้มงวด ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และแรงงาน เช่น CE Mark, REACH หรือ ISO ต่าง ๆ ที่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นในการเข้าไปมีบทบาทในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
นอกจากนี้ การเข้าใจวัฒนธรรมธุรกิจเยอรมันซึ่งเน้นระบบระเบียบ การวางแผน และความน่าเชื่อถือ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีพันธมิตรในท้องถิ่นหรือร่วมมือกับสมาคมการค้าในเยอรมนีเพื่อเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ
อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ESG (Environment, Social, Governance) เพราะตอนนี้บริษัทเยอรมันจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ ต้องรายงานผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และจะเลือกซัพพลายเออร์ที่มีแนวทางชัดเจนในเรื่องนี้
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต.
1. การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเยอรมนีผ่านแผนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร ถือเป็น “โอกาสเชิงกลยุทธ์” สำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดและสร้างเครือข่ายธุรกิจระดับภูมิภาคยุโรป ในช่วงเปลี่ยนผ่านดังกล่าว เยอรมนีกำลังให้ความสำคัญอย่างมากกับซัพพลายเออร์ที่มี จุดเด่นด้านคุณภาพ ความยั่งยืน และนวัตกรรม ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยควรเร่งเสริมจุดแข็งในด้านเหล่านี้ โดยเฉพาะ
2. การยกระดับมาตรฐานสินค้าส่งออกเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของเยอรมนีและสหภาพยุโรป เช่น CE mark, REACH, และการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ การสร้างเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) ซึ่งเยอรมนีให้ความสำคัญกับแหล่งที่มา ความโปร่งใส และคุณค่าของสินค้า การมี “เรื่องเล่าที่ดี” เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือองค์กรจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น
3. การจับคู่ธุรกิจกับบริษัทเยอรมันขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความคล่องตัวในการจัดซื้อ และมองหา “พาร์ตเนอร์ที่ไว้วางใจได้ในระยะยาว”
4. การเข้าสู่ตลาดเยอรมนีอาจไม่ใช่เรื่องง่ายในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการไทยมีการวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวและสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องจะสามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงในตลาดเยอรมนี และอาจต่อยอดไปสู่การขยายตลาดในภูมิภาคสหภาพยุโรปในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป: โอกาสอยู่ในมือเรา
การลงทุนมูลค่า 500,000 ล้านยูโรของประเทศเยอรมนี มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านถนน ระบบราง หรืออินเทอร์เน็ตเท่านั้น หากแต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนถึงการ “รีเซ็ต” ประเทศครั้งสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่อนาคตแห่งเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย โอกาสในการเข้าสู่ตลาดดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นจากการรอคอยคำเชิญ แต่จำเป็นต้อง “ก้าวเข้าไปอย่างมั่นใจ” ด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ มีมูลค่าเพิ่ม และแนวคิดที่เข้าใจทั้งบริบทของตลาดโลกและทิศทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
หากภาคธุรกิจไทยสามารถปรับตัวได้อย่างทันเวลา ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงที่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นชิ้นส่วนจากวิสาหกิจไทยในระบบรถไฟความเร็วสูงของเยอรมนี หรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยคนไทยกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของเมืองอัจฉริยะในนครแฟรงก์เฟิร์ต
—————————————–
รายงานโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงค์เฟิร์ต
โทร. +49-69-21000870
อีเมล์ info@thaitradefrankfurt.de
มิถุนายน 2568
อ้างอิง: