เนื้อหาสาระข่าว: ภาษีศุลกากรคงจะยังไม่หายไปไหนได้แน่ๆ ที่จริงแล้ว ในปี 2025 อัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวไปแล้ว ซึ่งทั้งรัฐบาลชุดไบเดนและรัฐบาลชุดทรัมป์นำมาใช้งาน ไม่เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ หากแต่ยังจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
ภาษีศุลกากรบางรายการได้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังสิทธิ์ยกเว้นสิ้นสุดลง ขณะที่บางรายการในภาคส่วนสำคัญ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าบริโภค ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น และข้อเสนอใหม่ๆ เช่น “อัตราภาษีพื้นฐาน” ฉบับทรัมป์ และ “ภาษีวันปลดปล่อย” ได้สร้างชั้นของความไม่แน่นอนที่ผันผวนสำหรับผู้จัดส่งสินค้าทั่วโลก
ผลก็คือ ไม่มีใครจะรอคอยความชัดเจนอีกต่อไปเรื่อยๆ ได้
ผู้นำเข้าสินค้าในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีกระบวนการปฏิบัติงานที่ยืดหยุ่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา โดยจะต้องเตรียมพร้อมรับกับความผันผวนของระดับต้นทุน ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการจัดซื้อจัดหา และปรับโครงสร้างด้านโลจิสติกส์เสียใหม่ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้เท่านั้น หากยังต้องอยู่ต่อไปอย่างมีความสามารถในการแข่งขันด้วย
คำแนะนำที่กำลังจะนำเสนอนี้ จะได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปโดยนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และขั้นตอนปฏิบัติที่ผู้นำเข้าจะสามารถหยิบมาใช้เพื่อบริหารความเสี่ยง รักษาระดับของผลกำไร และขับเคลื่อนกิจการไปบนเส้นทางที่แปรเปลี่ยนผันผวนในเบื้องหน้าไปให้ได้
มีสิ่งใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปในปี พ.ศ. 2025
อัตราภาษีศุลกากรมิได้ถูกนำมาใช้เพื่อตอบโต้เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นโครงสร้างถาวรที่ฝ่ายการเมืองหลักของสหรัฐฯ ทั้งสองพรรคต่างใช้เป็นเครื่องของภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐศาสตร์
ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีไบเดน
-
- มีการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในภาคส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมที่สำคัญ
- วัสดุต่างๆ ที่ใช้ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์และโลหะที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะนี้ต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 50
- แร่ทังสเตน ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และภาคการทหาร ถูกกำหนดให้เรีนกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 25
- มาตรการยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ (de minimis) ถูกปรับให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยยกเลิกสิทธิที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าน้อยกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มค้าปลีกอย่าง Shein และ Temu
- เน้นใช้ระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น กระตุ้นให้มีการผลิตสินค้าภายในประเทศ และลดการพึ่งพาจีน
- มีการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในภาคส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมที่สำคัญ
ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ (เริ่มใช้เมื่อต้นปี 2025)
-
- อัตราภาษีศุลกากรร้อยละ 10 สำหรับสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ทุกรายการ
- ภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีนที่ประกาศใน “วันปลดปล่อย”
- เริ่มต้นด้วยร้อยละ 10 ในเดือนกุมภาพันธ์
- เพิ่มเป็นร้อยละ 20 ในเดือนมีนาคม
- พุ่งสูงสุดถึงร้อยละ 145 ภายในเดือนเมษายน ก่อนจะปรับลดบางส่วนหลังการเจรจาแบบฉุกเฉิน
แม้หลังการลดระดับความตึงเครียดลงแล้ว อัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานสำหรับสินค้าจีนยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า (ประมาณร้อยละ 30) และการตอบโต้จากจีนเพิ่มความซับซ้อนในการขนส่งไปยังสหรัฐฯ ผ่านเอเชีย โดยมีภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่
-
- สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
- ชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องจักรอุตสาหกรรม
- สินค้าบริโภค โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย และเม็กซิโก
ภาระที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่
-
- หลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการแปรรูปผลิตภัณฑ์อย่างนัยสำคัญนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากหากยังต้องใช้ฉลาก “ผลิตในเม็กซิโก” หรือ “ผลิตในเวียดนาม”
- สำนักงานศุลกากรสหรัฐฯ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีการขนส่งผ่าน หรือมีกระบวนการผลิตในหลายประเทศ (สำหรับผู้นำเข้าสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มของ Amazon มีคำแนะนำในการจัดเตรียมระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Amazon EDI integration guide) ซึ่งให้รายละเอียดว่าจะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ขั้นตอนในการติดตั้งระบบ ประเภทของเอกสารและคำแนะนำในการปรับระบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานของ Amazon ตั้งแต่วันแรกเลย)
สรุปได้ว่า การปรับอัตราภาษีศุลกากรจะไม่จบในครั้งเดียว แต่จะกลายเป็น “ปัจจัยที่ผันแปร” แบบถาวรของกระบวนการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน ผู้นำเข้าต้องยอมรับความเป็นจริงนี้ให้ได้
แรงกดดันจากต้นทุนและการไร้อำนาจในการกำหนดราคาสินค้า
ผู้นำเข้ากำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งสองด้าน โดยด้านหนึ่งก็มีอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งสูงขึ้นในระดับสองหลักหากเทียบเป็นอัตราร้อยละ ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง ความอ่อนไหวต่อราคาในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าโดยไม่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาด
ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น บริษัทวอลมาร์ท ได้รายงานว่ามีการขอให้แหล่งสินค้าจากจีนรับภาระต้นทุนภาษีด้วยตนเอง ส่งผลให้หลายแบรนด์ต้องเผชิญกับกำไรที่ลดลง วงจรเงินสดที่ยืดเยื้อ หรือการลดต้นทุนด้วยวิธีที่อาจกระทบคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ซึ่ง วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่เคยใช้กันไม่อาจนำมาใช้ได้
-
- การลดคุณภาพสินค้าจะบั่นทอนความภักดีของลูกค้า
- การเลือกใช้บริการโลจิสติกส์ราคาต่ำที่สุดอาจทำให้ต้องส่งมอบสินค้าล่าช้าและต้องเสียค่าปรับให้ผู้ค้าปลีก
- การชะลอการผลิตหรือการสั่งสินค้าเข้าคลังสินค้าเพื่อรอโอกาส อาจทำให้ผู้ค้าปลีกเองต้องเผชิญภาวะขาดแคลนสินค้าในช่วงที่มีความต้องการสูง
ผู้นำเข้าที่ประสบความสำเร็จจึงหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารเชิงโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพแทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องการควบคุมราคา โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนภายในห่วงโซ่อุปทานของตนเองให้ต่ำที่สุดเสียก่อนที่สินค้าจะถูกส่งมาถึงสหรัฐฯ เสียด้วยซ้ำไป โดยมีหลายรายเริ่มใช้แพลตฟอร์มเช่น CrossBridge ซึ่งรวมระบบคลังสินค้า การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และรวมเอาผู้จัดจำหน่ายเข้ามาไว้ในระบบสนับสนุนงานหลักของสำนักงานที่เดียวกันได้ ช่วยให้ผู้นำเข้าสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และลดจุดบอดในการดำเนินงานลงได้บ้าง
การตอบสนองของผู้ค้าปลีก
ความพลิกผันในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรไม่ได้เพียงสร้างความกดดันสำหรับผู้นำเข้าเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ผู้ค้าปลีกเลือกและบริหารจัดการแหล่งสินค้าไปเลยด้วย
ยกตัวอย่างในกรณีบริษัท Walmart เมื่อต้นทุนภาษีพุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2025 บริษัทไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกโดยทั่วไป แต่ขอให้แหล่งสินค้าโดยเฉพาะที่นำเข้าจากจีน รับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้บังคับให้ผู้นำเข้าต้องเลือก ว่าจะยอมรับกำไรที่ลดลง หาแหล่งสินค้าใหม่ หรือเสี่ยงต่อการถูกตัดออกจากระบบ โดยหากมองในภาพรวม ผู้ค้าปลีกรายใหญ่มีแนวปฏิบัติดังนี้
-
- เพิ่มการจัดหาสินค้าภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากภาษี
- เน้นเลือกแหล่งสินค้าที่พร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ มีประสิทธิภาพด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) และส่งมอบตรงเวลา
- ขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าทางเลือก เช่น “สินค้านี้สามารถจัดส่งจากเม็กซิโกแทนจีนได้หรือไม่”
- ตรวจสอบรายละเอียดต้นทุนจนถึงที่ท่าเรือ (Landed Cost) อย่างละเอียดก่อนกำหนดรหัสสินค้าใหม่ (SKU)
แนวทางเหล่านี้ทำให้เงื่อนไขการคัดเลือกแหล่งสินค้าเข้มงวดยิ่งขึ้น หากเจ้าของแบรนด์หรือแหล่งสินค้าไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับมาตรการภาษีศุลกากร ความสามารถในการตรวจสอบสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ ก็จะต้องเสียโอกาส แม้สินค้าจะมีคุณภาพดีก็ตาม ซึ่งผู้นำเข้าที่มีระบบบริหารจัดการงานที่ดีก็จะสามารถปรับตัวได้ดีกว่า ส่วนผู้ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อมาตรฐานที่สูงขึ้นของผู้ค้าปลีกกำลังถูกกันให้ต้องออกจากระบบไปเงียบๆ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์: De Minimis, Amazon และการนำเข้าโดยตรง
ช่องทางการนำเข้าโดยใช้กฎ De Minimis ที่มูลค่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ เคยเป็นกลยุทธ์สำคัญของแบรนด์ที่จำหน่ายโดยตรงถึงผู้บริโภค (DTC) และแพลตฟอร์มจากจีน ในปี 2025 กำลังจะถูกปิดอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจำกัดการใช้สิทธิ์ De Minimis สำหรับการขนส่งจากจีน ทำให้ข้อได้เปรียบที่เคยส่งเสริมให้การนำเข้าสินค้าราคาต่ำมากๆ เคยรุ่งเรือง กำลังจะจบลงแล้ว โดยผู้ค้าปลีกที่ใช้แพลตฟอร์ม เช่น Shein, Temu และแม้แต่ Amazon ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องพึ่งพาการจัดส่งสินค้าข้ามพรมแดนแบบดรอปชิปปิ้ง การเปลี่ยนแปลงในวงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ
-
- Shein ได้จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในสหรัฐฯ โดยยอมรับภาระภาษีล่วงหน้าและย้ายการดำเนินงานให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น
- Amazon ผลักดันให้ผู้ขายใช้ระบบ Fulfillment by Amazon (FBA) ซึ่งช่วยควบคุมการผ่านพิธีการศุลกากรและการจัดส่งระยะสุดท้าย แต่ต้องแลกด้วยกำไรที่ลดลงและการสูญเสียอิสระในการบริหาร
- แบรนด์ขนาดเล็กที่จำหน่ายโดยตรงถึงผู้บริโภคเผชิญแรงกดดันให้ต้องย้ายคลังสินค้า ใช้ระบบจำแนกประเภทสินค้าอัตโนมัติ และเชื่อมโยงกับระบบในสหรัฐฯ มิฉะนั้นอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
แบรนด์ที่ยังไม่ลงทุนในระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) คลังสินค้าในสหรัฐฯ หรือการจำแนกประเภทสินค้าตามภาษีศุลกากรอย่างเป็นระบบกำลังเผชิญความยากลำบาก แม้แต่ผู้ขายบนแพลตฟอร์ม Shopify ก็พบว่าการนำเข้าสินค้าราคาถูกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการควบคุมการดำเนินงาน
การใช้เทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภาษีศุลกากร
การเมืองเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เราสามารถสร้างระบบที่สามารถปรับตัวไปตามทิศทางของการเมืองได้ ซึ่งบรรดาผู้นำในระบบห่วงโซ่อุปทานกำลังดำเนินการในแนวทางนี้ ระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และแพลตฟอร์มที่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าได้ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือรายงานภายในองค์กรเท่านั้นอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์เพื่อจัดการกับความพลิกผันท่ามกลางวิกฤติแห่งภาษีศุลกากรได้ บรรดาแพลตฟอร์มสมัยใหม่ช่วยให้สามาถทำสิ่งใหม่ๆ ได้ ดังนี้
-
- คำนวณต้นทุนสินค้าจนถึงท่าเรือ (Landed Cost) อัตโนมัติ รวมถึงค่าระวาง ภาษีศุลกากร และค่าธรรมเนียมนายหน้าต่อรหัสสินค้า (SKU)
- ระบบจำแนกประเภทตามพิกัดศุลกากรสากล (HTS) ที่ตรวจพบข้อผิดพลาดก่อนถึงหน่วยงานศุลกากร
- การจำลองสถานการณ์ ช่วยให้ทีมจัดซื้อและการเงินประเมินผลกระทบด้านต้นทุนก่อนยืนยันคำสั่งซื้อ
ในทางปฏิบัติ ระบบเหล่านี้ช่วยให้มีสิ่งที่เหนือความคาดหมายน้อยลงได้ ทีมงานจึงไม่ต้องเสียเวลาแก้ปัญหาหน้างาน แต่สามารถทำงานตามหน้าที่ในการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง ชะลอ หรือเร่งการจัดส่งได้ตามข้อมูลภาษีแบบทันทีทันใดสดๆ
การปรับปรุงการดำเนินงานที่ได้ผลอย่างแท้จริง
วิธีเดียวที่จะรักษาความยืดหยุ่นในสภาวการ์เช่นนี้ คือการปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้เน้นความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ดังแนวปฏิบัติเหล่านี้
-
- การกระจายแหล่งสินค้า: กลยุทธ์ “จีนบวกหนึ่ง” ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีแล้ว แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงกว้าง
- เวียดนามและอินเดียกำลังรับช่วงการผลิตที่ต้องอาศัยแรงงานมนุษย์
- เม็กซิโก ภายใต้ข้อตกลง USMCA มีความได้เปรียบจากการผลิตใกล้สหรัฐฯ และการยกเว้นภาษีศุลกากร
- บริษัทจีนย้ายการประกอบขั้นสุดท้ายไปยังเม็กซิโกเพื่อให้สามารถระบุว่าเป็นสินค้าที่ “ผลิตในเม็กซิโก” อย่างถูกกฎหมาย โดยทำให้ผ่านเงื่อนไขเรื่อง การแปรสภาพอย่างมีนัยสำคัญและได้รับการยกเว้นภาษี
ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการขนส่งจากจีนไปเม็กซิโกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละเป็นตัวเลขสองหลักเทียบกับปีก่อน
- การใช้วิศวกรรมเลี่ยงภาษีศุลกากร: การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนวัสดุ ลำดับการประกอบ หรือการย้ายขั้นตอนบรรจุภัณฑ์สุดท้าย สามารถนำไปสู่การจำแนกพิกัดศุลกากรสากล (HS Code) ใหม่ที่มีอัตราภาษีลดลงได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกกฎหมายและจำเป็นมากขึ้น
- การจัดวางตำแหน่งที่ตั้งคลังสินค้า: การใช้คลังสินค้าพิเศษ (Bonded Warehouses) หรือเขตการค้าต่างประเทศ (Foreign-Trade Zones: FTZs) ช่วยให้สามารถชะลอการชำระภาษีศุลกากรจนกว่าสินค้าจะจำหน่ายหรือเปลี่ยนเส้นทาง และลดต้นทุนการจัดส่งระยะสุดท้ายโดยจัดเก็บสินค้าในคลังสินค้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้บริโภค
- การพิจารณาเลือกใช้เงื่อนไขทางการค้า: ผู้นำเข้าเลือกใช้เงื่อนไข FOB กันมากขึ้น เพื่อควบคุมการผ่านพิธีการศุลกากร การเลือกผู้ขนส่ง และการจำแนกประเภทภาษี แทนที่จะปล่อยให้แหล่งสินค้าในต่างประเทศควบคุมด้านโลจิสติกส์และความเสี่ยง
- การปฏิบัติการที่ตรงตามกฎระเบียบโดยอัตโนมัติ: ซอฟต์แวร์ติดตามการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีแบบเรียลไทม์ ตรวจจับรหัสสินค้า (SKU) ที่จำแนกผิด และสร้างเอกสารที่จำเป็นโดยอัตโนมัติ เช่น ใบกำกับสินค้า ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และข้อมูลจากระบบ EDI ของ Amazon — การทำให้ขั้นตอนนี้สามารถทำได้อย่างอัตโนมัตินั้น ช่วยลดข้อผิดพลาด หลีกเลี่ยงค่าปรับ และรักษาความพึงพอใจของผู้ค้าปลีกเอาไว้ได้ ซึ่งสำคัญยิ่งในสภาวการณ์ที่มีความเสี่ยงมากๆ และความผิดพลาดที่มีต้นทุนสูง
- การกระจายแหล่งสินค้า: กลยุทธ์ “จีนบวกหนึ่ง” ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีแล้ว แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงกว้าง
บทสรุป
ภาษีศุลกากรไม่ใช่ภาระเพียงชั่วคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานแบบใหม่ของการค้าโลกไปแล้ว ผู้นำเข้าที่มองภาษีเป็นเพียงเสียงรบกวนจากเบื้องหลังไกลๆ จะต้องเผชิญปัญหาแบบไม่ทันตั้งตัวรับมืออยู่บ่อยๆ ส่วนผู้ที่สามารถรับมือได้ด้วยด้วยระบบที่ดีขึ้น การจัดหาแหล่งสินค้าอย่างชาญฉลาด และการดำเนินงานที่คล่องตัว ไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องผลกำไร แต่ยังสามารถสร้างความได้เปรียบในระยะยาวด้วย ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน ความยืดหยุ่นไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นพื้นฐานสำหรับการคงอยู่ในสนามการค้า
บทวิเคราะห์/ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: บทความนี้ ดูไปแล้วคล้ายเป็นข้อความโฆษณาระบบบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าเข้าสู่สหรัฐฯ แต่หากมองดูความพลิกผันที่กำลังเกิดขึ้นในทุกองคาพยพของกระบวนการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ ก็คงต้องยอมรับว่า คงไม่มีมนุษย์คนใดพลิกผันไปตามความเปลี่ยนแปลงแบบรายวัน หรืออาจถึงขั้นรายชั่วโมงกันเลยทีเดียวได้ คงต้องอาศัยระบบปฏิบัติการที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามความพลิกผันได้แบบเรียลไทม์ สดๆ ทันทีทันใด เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องครบถ้วนตามกฎระเบียบ เงื่อนไขและมาตรการใหม่ๆ ต่างๆ ได้ทันท่วงที เพราะต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดอาจมีผลร้ายแรงได้
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์ส่วนใหญ่ ก็ตระหนักดีถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบเฝ้าระวัง บริหารจัดการข้อมูลด้านภาษีศุลกากรแบบเรียลไทม์ ด้วยเหตุที่ต้องบริหารสินค้าหลากหลายขนาด สี รสชาติ รูปแบบและรุ่นการผลิตมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อนยิ่งอยู่แล้วตั้งแต่เดิมที่ยังไม่มีความพลิกผันในเรื่องนี้ และได้พัฒนาระบบรองรับไว้พร้อมกันแล้ว ซึ่งก็น่าแปลกใจที่ดูเหมือนจะเตรียมการพัฒนาระบบมาก่อนล่วงหน้ากันแล้วหรือไม่ เหมือนรู้ว่าจะมีความซับซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้น ผู้ผลิต แหล่งสินค้าและผู้ขายที่ใช้บริการบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็ยังได้รับอานิสงค์ไปด้วย แม้จะต้องเสียเวลาเรียนรู้การใช้งาน มีต้นทุนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ต้องรับสัดส่วนผลกำไรที่ลดลง แต่ก็น่าจะปลอดภัยขึ้น มีความเสี่ยงที่จะผิดกฎระเบียนและการตรวจสอบจนต้องเกิดความสูญเสียได้ อีกประเด็นที่อยากเน้นก็คือแนวโน้มที่ผู้ซื้อรายใหญ่ๆ จะเริ่มหันมานิยมเลือกใช้เงื่อนไขทางการค้าแบบ FOB กันมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้สามารถควบคุมและเลือกวิธีการตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะหน้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการค้าที่พลิกผันถี่ๆ เช่นนี้ ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งกว่า
สำหรับผู้นำเข้ารายย่อยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงอันมีต้นทุนสูงลิบเหล่านี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคู่ค้าในด้านการขนส่งที่สามารถให้คำแนะนำได้ และดูเหมือนว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ระดับโลกที่เชี่ยวชาญตลาดสหรัฐฯ ก็น่าจะมีความได้เปรียบในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย และในการวางแผนการจัดส่งสินค้า อาจต้องร่วมพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดเพิ่มขึ้นกว่าแต่เดิมที่เคยทำกันมา และคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพยายามติดตามข่าวสาร การเปลี่ยนแปลง ความพลิกผันกันบ่อยขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัวไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ได้ทัน
ท้ายที่สุด เมื่อมองรอบทุกด้านทุกเหลี่ยมมุมของตลาดสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร แต่วันนี้ ผู้เคราะห์ร้ายที่ชัดเจนที่สุดและไม่มีทางหลีกเลี่ยงคงไม่ใช่ใครอื่นนอกเหนือไปจากผู้บริโภคสหรัฐฯ เอง เพราะไม่ว่าจะด้วยอัตราภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้น ความซับซ้อนยุ่งยากยิ่งขึ้นในการบริหารจัดการการค้า ความต้องการระบบที่มีความสามารถมารองรับการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใดบ่อยๆ ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่สุ่มเสี่ยงจะบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นแหล่งพลังงาน ผลพื้นฐานอันเกิดจากความจำเป็นที่จะต้องทิ้งแหล่งสินค้าต้นทุนต่ำอย่างจีน แล้วหันไปหาแหล่งสินค้าในประเทศอื่นที่ต้นทุนสูงกว่า ยังไม่รวมถึงต้นทุนอันเกิดจากการขนย้ายถ่ายโอนแหล่งผลิตอีกด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่จะส่งผลในการผลักดันราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้สูงขึ้นทั้งสิ้น ยังไม่อาจมองเห็นว่ามีปัจจัยใดๆ ที่มีนัยสำคัญซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีราคาสินค้าลดลงได้เลย
*********************************************************
ที่มา: Global Trade Magazine เรื่อง: “Navigating U.S. Tariff Changes: Operational Strategies for Importers in 2025” โดย: Sienna Johns สคต. ไมอามี /วันที่ 20 มิถุนายน 2025